บล็อกจับฉ่ายนายวีวี่คลุงซ์

"Because the story on your life never end."
Follow Me
วันก่อนเดินผ่านโรงเรียนประถมแถวที่ทำงาน แล้วเห็นคุณครูปล่อยนักเรียนออกมาเก็บขยะกันหน้าโรงเรียน เข้าใจว่าน่าจะเป็นการฝึกเรื่องจิตสาธารณะ ซึ่งโรงเรียนตอนเด็กๆ ของหลายๆ คนก็คงมีการปล่อยให้เก็บขยะแบบนี้อยู่แน่นอน เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมเรื่องคุณธรรม


ประเด็นมันอยู่ที่ความไม่จริงใจต่อจิตสาธารณะของนักเรียนนี่แหละครับ เวลาครูปล่อยให้ไปเก็บขยะปั๊บ บางกลุ่มก็เดินลอยชาย บางกลุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตาเก็บกันสุดยิก ตัวแปรสำคัญของกิจกรรมนี้อยู่ที่คำว่า "คนละ 10 ชิ้นถึงจะเข้าห้องเรียนได้" (หรืออาจจะให้กลับบ้าน ได้คะแนนก็ว่าไป บลาๆๆ) ซึ่งพอใกล้จะหมดเวลา กลุ่มที่เดินลอยชายก็วิ่งไปแย่งจากพวกตั้งใจเก็บ หรือคนไหนฝึกคอร์รัปชั่นแต่เด็ก ก็จะไปวิ่งหาเศษใบไม้ใบใหญ่ แล้วก็ฉีกให้ครบ 10 ชิ้น แล้วก็ให้ครูตรวจขยะแล้วก็ทิ้ง ผมจำได้ลางๆ ตอนเด็กว่าตั้งใจเก็บทุกชิ้นเลย เศษพลาสติกเอย เศษขยะเอย แล้วไปให้ครูตรวจด้วยความภูมิใจว่า 'นี่ๆๆ ครบด้วย ไม่ซ้ำกันเลยนะ ไม่มีเศษใบไม้แห้งเลย' พอเอาเข้าใจ ครูก็ไม่ได้ตรวจจริงๆ หรอก มองๆ แล้วก็สั่งให้ไปทิ้ง เฮ้อ (-_-)

ผมว่าไอ้เรื่องการฝึกจิตสาธารณะให้เด็กเนี่ย ไม่ใช่เรื่องที่ช้าหรือเร็วไปนะ ซึ่งทุกคนรู้ว่าขยะในมือท่าน ต้องหย่อนลงถังเถอะครับ พอโตมาปัญหาเริ่มมีความซับซ้อนกว่าเดิมคือการแยกขยะ...  ทั้งหมดทั้งมวลมันเหมือนเราถูกสอนกันมาผิดๆ นั่นแหละครับจริงอยู่ว่าการทำแบบนี้ก็สอนเด็กได้ทางอ้อมมั่งละนะ แต่การไปกำหนดว่า 10 ชิ้น 20 ชิ้นถึงจะผ่านเกณฑ์มันถูกไม่คือเลยแฮะ ตอนที่เดินผ่านโรงเรียนประถมที่บอกข้างบนผมก็ยังเห็นเศษขยะเต็มหน้าโรงเรียนอยู่เลย เด็กบางกลุ่มก็ยังมาขอกลุ่มที่ตั้งใจเก็บอยู่ดี สรุป... ก็ไม่ได้ช่วยให้เด็กมีจิตสาธารณะเท่าไหร่อยู่ดี

ฉะนั้น เรื่องจิตสาธารณะในการรักษาความสะอาดในเด็ก ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงของครูทั้งหลาย ก็อยากจะให้อธิบายซักนิดว่าทำทำไม ทำแล้วได้อะไร ไม่ใช่อยู่ๆ ก็โผล่งผล่างว่า 'ไปเก็บมา 10 ชิ้น' จบ... แล้วยังงี้เด็กจะได้อะไรครับ ถึงจะไปกำหนดให้ลึกกว่าเดิมว่า 'ไม่เอาเศษใบไม้นะ' เด็กที่กำลังฝึกวิทยายุทธคอร์รัปชั่นก็ยังคงทำเหมือนเดิมคือ ฉีกเศษพลาสติกให้ครบ 10 ชิ้น เอาเป็นว่าสอนเด็กซักนิดก็ยังดีครับ ว่าทำแล้วได้อะไร หรือจะทำเป็นชั่วโมงจิตสาธารณะแบบเต็มชั่วโมงผมว่าก็เวิร์คนะ ให้เด็กช่วยกันทำความสะอาดโรงเรียนเลย สนุกดี โรงเรียนผมมีเหมือนกัน Big Cleaning Day ขัดพื้นห้องเรียนกันสนุกมาก แต่ไม่รู้เดี๋ยวนี้มีหรือเปล่านะ เด็กสมัยนี้กับสมัยผมมันต่างกันเยอะแล้ว (T_T)

ปล. ที่พูดมาทั้งหมดนี่ทำมาหมดละ ฮ่าๆๆๆๆ
ต้องยอมรับว่าปัจจุบันนี้ Social Network มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในสังคมของมนุษย์เรา วันๆ หนึ่งมีข้อมูลมากมายมหาศาลที่ไหลอยู่ในสังคมออนไลน์นับไม่ถ้วน รวมถึงข่าวสารต่างๆ มากมาย ที่สำคัญบ้านเมืองเดี๋ยวนี้ก็เกิดอะไรมากมาย จะมามัวเสพย์ข่าวผ่านหนังสือพิมพ์หรือทีวีก็คงจะไม่ทันใจใช่ไหมเล่า เราก็จะเห็นได้ว่าสำนักข่าวหลายๆ เจ้าทั้งไทยและต่างประเทศก็เริ่มให้ความสำคัญกับการนำเสนอข่าวผ่านสังคมออนไลน์กันมากขึ้น เพราะมันรวดเร็วกว่ายังไงหละ


ทีนี้พอเรามองไปที่ Social Network ระดับตัวพ่อในประเทศไทย ตอนนี้ Facebook ก็ยังได้รับความนิยมเปรี้ยงปร้างอยู่  ซึ่งจริงอยู่ว่ามีผู้ใช้เยอะมากมายนะ แต่ด้วย Algorithm ของ News Feed อันแสนจะไม่โปรดปรานต่อผู้เสพย์ข่าว มันไม่เอื้อต่อการนำเสนอข่าวแบบ real-time เท่าที่ควร ฉะนั้นผมก็เลยมานำเสนอการใช้ Social Network อีกตัวที่ฮิตไม่แพ้กัน นั่นคือ Twitter นั่นเอง

เกริ่นสั้นๆ กับ Twitter



Twitter (อ่านว่า ทวิตเตอร์) เป็นสังคมออนไลน์ประเภทหนึ่งที่อยู่ในหมวดของ Micro-Blog ซึ่งคุณสามารถเล่าเรื่องราวที่พบเห็นในประจำวันได้อย่างอิสระภายใต้ 140 ตัวอักษรต่อ 1 ทวีต (หรือ 1 ประโยค) วิธีการเล่นก็ไม่ซับซ้อนอะไรมากมาย เพียงแค่เราอยากอ่านเรื่องราวของใครก็ตามไปกดติดตามหรือ Follow คนนั้น เราก็จะเห็นว่าในแต่ละวันเค้าทวีตอะไรบ้าง แล้วถ้ามีคนมากดติดตามคุณเค้าก็จะเห็นว่าคุณทวีตบ้าง หากชอบใจทวีตไหนก็กด Retweet (RT) เพื่อให้คนที่ติดตามคุณเห็นด้วย ซึ่งสิ่งที่ช่วยตอบสนองให้การใช้งาน Twitter ได้ดีขึ้นนั่นคือ Timeline ซึ่งเราจะเห็นทวีตต่างๆ ของเพื่อนที่เราติดตามไว้แบบ real-time วินาทีต่อวินาทีเลยทีเดียว ทำให้เกิดความรวดเร็วในการสื่อสารมากขึ้น แต่ก็แลกมาด้วยการนั่งอ่าน Timeline ทั้งวัน และข้อดีของการใช้งาน Twitter อีกอย่างหนึ่งคือ สามารถใช้งานผ่านหน้าเว็บไซต์หรือแอปบนมือถือทั้งที่เป็นของ Twitter เองหรือจะเป็นนักพัฒนาที่นำ API ไปใช้งานก็ได้ ทำให้เข้าถึง Twitter ได้อย่างทุกที่และทุกเวลา

รู้จักกับ Vine อีกนิด

Vine (อ่านว่า ไวน์) เป็นสังคมออนไลน์ที่เกิดขึ้นมาภายในบริษัทเดียวกับ Twitter เกิดมาเพื่อตอบสนองความไม่เพียงพอต่อ 140 ตัวอักษร Vine จึงทำหน้าที่ช่วยถ่ายวีดีโอสั้นๆ ภายใน 6 วินาทีแล้วทำการแชร์ใน Twitter ได้ทันทีนั่นเอง เพราะภายใน 6 วินาที คุณสามารถเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างกระชับพอๆ กับการทวีต 140 ตัวอักษรนั่นเอง ซึ่งการใช้ Vine ในส่วนอัดวิดีโอจำเป็นต้องใช้งานผ่านแอป Vine บนมือถือก่อน แต่การดูคลิปนั้นสามารถดูผ่านแอปรือผ่านหน้าเว็บได้เลย

แล้วจะใช้ประโยชน์เจ้าสองตัวอย่างไร ?


ด้วยความที่มันเป็น Social Network แบบ real-time และมีฐานผู้ใช้อยู่มากมายทั่วโลก จึงไม่ยากที่ผู้ใช้อย่างเราๆ จะนำเสนอข้อมูลต่างๆ ให้กับสังคมได้ง่ายๆ ดังนี้
  • เปิดใช้งาน Location ในทวิตนั้นๆ : หลายๆ คนจะไม่รู้ว่าเราสามารถเปิด Location เพื่อบอกถึงตำแหน่งที่เราทวีตได้ ซึ่งทำได้ทั้งบนมือถือและเว็บไซต์ (แต่บนเว็บไซต์จะแสดงผลไม่ละเอียดเท่าไหร่) ยกตัวอย่างเช่น เจอเหตุการณ์รถชนกันแต่เราบอกไม่ถูกว่าอยู่ที่ไหน ก็ทำการเปิด Location ในมือถือพร้อมกับถ่ายภาพ และอย่าลืมบอกในทวีตว่า ที่อยู่ตาม Location หรือบอกที่อยู่ ณ ตอนนั้นก็ได้ว่าอยู่ตรงไหน จุดไหน ใกล้กับอะไร เพื่อจะได้ตามกันได้ง่ายและเป็นหลักฐานชั้นดีว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ณ ที่ตรงนี้

  • ถ่ายภาพเพื่อความน่าเชื่อถือขึ้นไปอีก :  อย่ามัวแต่จิ้มมือถือเวลาที่เจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด เพราะนอกจากจะเปิด Location แล้ว ถ้าจะเอาให้ละเอียดกว่านี้ก็ว่ารถชนจริงๆ นะเนี่ย ก็แนบภาพถ่ายเข้าไปด้วย จะถ่ายก่อนแล้วแนบทีหลังหรือถ่ายผ่านจากแอปก็มีค่าเท่ากัน แต่ถ้าจะให้ดีก็ถ่ายแบบทันทีผ่านแอปเลยจะดีกว่า ที่สำคัญ...
  • อย่าใส่ Filter ให้กับภาพโดยไม่จำเป็น : ไม่ต้องกลัวว่าภาพที่ถ่ายจะไม่สวย ข้อมูลข่าวสารต้องการภาพจริงๆ สถานที่เกิดเหตุจริงๆ ฉะนั้น อย่าใส่ Filter หรือปรับแต่งภาพใดๆ เลยจะดีกว่า เดี๋ยวพอสีเพี้ยนละจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดกันหมด
  • ใช้ Vine ในยามฉุกเฉิน : ถ้ามันไม่รีบร้อนจนเกินไป หรือคิดว่าภาพนิ่งมันจะไม่สะใจเท่าไหร่ ต้องแบบมีเสียงประกอบพร้อม ก็เปิดแอป Vine แล้วถ่ายวีดีโอ 6 วินาทีซะ แล้วอัพขึ้น Twitter ด้วยดีกว่า นอกจากจะช่วยให้น่าเชื่อถือและทำให้ข้อมูลมีมิติมากขึ้น มันอาจจะได้ช่วยในยามที่ไม่สะดวกพิมพ์ได้อีกด้วย แถมผู้ใช้บน Twitter ไม่ว่าจะผ่านหน้าเว็บหรือบนมือถือก็สามารถกดดูได้เลยโดยไม่ต้องเข้าแอป Vine ได้ทั้งภาพและเสียง ถ้าจะให้ดีก็ใส่ Location ไว้ด้วยนะ เช่น...

  • ติด Hashtag กับสถานการณ์ที่มีคนรายงานเยอะๆ : ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์สำคัญๆ แล้วเราไม่สามารถคัดกรองข้อมููลของเหตุการณ์นั้นๆ ได้ ระบบค้นหาใน Google ก็ไม่ช่วยให้สะดวกเท่าไหร่ ก็ให้ทำการใส่ Hashtag (#) เข้าไปในทวีตด้วย จะช่วยให้เราสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์นั้นๆ จากคนอื่นได้เร็วขึ้น เหมือนที่มีแท็ก #thaiflood ที่ช่วยรายงานน้ำท่วมในประเทศไทยนั่นเอง
  • อย่า Protect Account ถ้าจะรายงาน : เป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของผู้ใช้ทั่วๆ ไป ถึงแม้ว่าคุณจะใส่ Hashtag ไว้ก็ตาม แต่ถ้า Protect Account หรือล็อกไม่ให้คนอื่นกดตาม Follow มั่วๆ หากคุณรายงานข่าวอะไรก็ตาม คนที่เห็นจะมีแต่เพื่อนที่คุณอนุญาตให้เค้าตาม Follow พอเพื่อนจะกด RT กลับกดไม่ได้เพราะคุณล็อคทวิตไว้นั่นเอง ฉะนั้น หากจะรายงานเหตุการณ์อะไร ถอด Protect Account ก่อน พอคนเริ่มเบาๆ RT หรือจบรายงานก็ค่อยล็อกกลับดีกว่า
  • ร่วมด้วยช่วยกัน RT : หากมีเหตุการณ์ไหนควรจะให้คนอื่นรับทราบด้วยจากทวีตคนอื่น ก็จงกด RT กันโดยด่วน ซึ่งอย่างที่บอกไปข้างต้นว่าหากมี Location / ภาพ / วีดีโอ หรือหลักฐานที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ ก็กด RT ไปได้เลยเพื่อจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น หากทวีตมาลอยๆ หรือไม่มีที่มาก็พิจารณากันก่อนซักนิด เดี๋ยวจะปล่อยโคมกันสนุกสนาน

  • อย่าทวิตข้อความวกวนเวลาจะรายงาน : เวลาต้องการรายงานว่าที่ที่เราอยู่ ณ ตอนนี้เป็นอย่างไร ควรทวีตให้กระชับและคนอื่นอ่านสามารถเข้าใจได้ทันที เช่น “รังสิตฝนตกหนัก ขาเข้าเมืองรถติดมากตอนนี้ เลี่ยงได้จะดี” ไม่ต้องสนใจความสุภาพของข้อความแบบ “ที่รังสิตฝนตกหนักมากเลยครับผม ขาเข้าเมืองรถติดมากๆ เลยนะครับ พิจารณาเส้นทางใหม่จะดีมากๆ ครับ” คือแบบ.. ยาวไปมั้ยเนี่ย เป็นไปได้ก็ขอให้มันอ่านแล้วเข้าใจในทีเดียวคนอื่นก็จะ RT ให้เอง ที่สำคัญ หลีกเลี่ยงการใส่อารมณ์หรือ Emoticon เข้าไป เช่น “เจอรถคว่ำด้วยอ่า รถตรงนี้ติดโคตรๆ เลย T__T” เพราะนอกจากจะเปลืองตัวอักษร ทวีตของคุณก็จะไม่เป็นประโยชน์เลย ยิ่งไม่มีหลักฐานนี่ยิ่งไม่น่าเชื่อใหญ่ ฉะนั้น ทวีตข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก่อนซักหนึ่งทวีต แล้วอยากจะใส่อารมณ์ว่าฉันหงุดหงิดที่รถติดอันนี้ก็ตามสบายนะจ๊ะ

ทั้งหมดนี้ก็เป็นช่องทางในการรายงานข่าวผ่านทาง Twitter อย่างมีประโยชน์แก่สังคมเบื้องต้นนะฮะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกๆ คนที่ใช้ Twitter เผื่อเกิดเหตุการณ์ที่ต้องการรายงานให้คนอื่นทราบก็สามารถนำไปปรับใช้ได้ หรือใครมีเทคนิคอะไรอยากแนะนำก็คอมเมนท์กันไวได้เลยนะฮับ ^^
อ่า.. ได้ฤกษ์เขียนบล็อกเกี่ยวกับ Google+ ต่อจากนี้บล็อกผมจะมีซีรีย์ที่ชื่อ "มามะ Google+ รออยู่" ออกมาเรื่อยๆ จุดประสงค์จริงๆ คือ อยากให้ผู้ใช้คนไทยได้รู้จักกับ Google+ ให้มากกว่าเดิม รวมถึงอยากให้รู้จักวิธีใช้ที่จะทำให้คุณสนุกกับมัน คือผมว่าผมใช้แล้วมันก็โอเคนะ แต่พอคนเล่นน้อย มันก็ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่  อีกอย่าง อยากให้ผู้ใช้มีทางเลือกมากกว่า หลังๆ ดูแล้ว Facebook ก็เริ่มไม่โอเคเท่าไหร่ละในสายตาผมนะ ก็เลยมีซีรีย์ต่อไปนี้ออกมาแน่นอน


ก่อนที่เราจะไปรู้จักกับ Google+ ให้มากกว่าเดิม ผมขอนำเสนอเรื่องราวระหว่าง Facebook และ Google+ ว่าแตกต่างกันอย่างไรให้ได้อ่านกันก่อนละกัน เผื่อถ้าเริ่มชอบอกชอบใจอยากจะย้ายมาเล่น Google+ ก็จะได้ตามมาอ่านบล็อคตอนต่อไปได้อย่างสนุกสนาน

Google+ ไม่ใช่ป่าช้าแล้วนะเฟ้ย!!


อันว่า Google+ นั้นโดนข้อครหาเรื่องความเป็นป่าช้ามาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ซึ่งตอนนั้นก็ป่าช้าวัดดอนเรียกพี่จริงๆ พอช่วงปี 2012 ก็เกิดการพัฒนาตัวเองขึ้นมา(ซักที) ถึงกับปล่อยของออกมาไม่หยุดเลยทีเดียว เริ่มตั้งแต่ Communities ฟีเจอร์ที่ช่วยรวมกลุ่มคนที่มีความสนใจอะไรซักอย่างเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดผู้ใช้มากขึ้น ต่อมาก็พัฒนาส่วนค้นหาเพื่อนให้มีความง่ายและฉลาดมากๆ ซึ่งถ้าใครลองกรอกข้อมูลตัวเองเช่นเรื่องเรียนที่ไหน ทำงานยังไง มันก็จะไปลากตัวเพื่อนมหาวิทยาลัยที่เรารู้จักหรือแนะนำคนที่คิดว่าคุณน่าจะรู้จักมาให้ จากนั้น Google ก็โฆษณาและพัฒนาให้เข้ากับผลิตภัณฑ์ของเค้าอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น ในที่สุดก็เก็บตำแหน่งสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้มากที่สุด (ประมาณ 340 ล้านคน) เป็นอันดับ 2 ได้สำเร็จ!

ภาพจาก : ZDNet

แล้วอะไรคือข้อแตกต่างของ Facebook กับ Google+ หละ ?


ถ้าจะให้พูดง่ายๆ ก็คงจะ
  • Facebook จะเน้นไปที่เรื่องของเพื่อนที่เรารู้จักอยู่แล้ว รวมไปถึงคนที่คุณก็รู้จักดี
  • Google+ จะช่วยสร้าง connection ใหม่ๆ รวมถึงหาคนที่น่าสนใจและช่วยแสดงเนื้อหาที่เหมาะกับคุณ
ซึ่ง Facebook ไม่ได้ช่วยให้แสดง Content ใหม่ๆ ให้คุณ ในทางกลับกัน Google+ ก็ไม่สามารถค้นหาเพื่อนที่กำลังคุยกับคุณตอนนี้ได้นั่นเอง

แล้ว Google+ ทำงานยังไง ?


ใน Facebook ใช้คำว่าแอดเพื่อน แต่ใน Google+ จะมีลักษณะเหมือน Twitter นั่นคือการ Follow หรือ ติดตาม นั่นเอง แต่ที่ไม่เหมือน Twitter ก็คือ Circle ทำหน้าที่จัดการเพื่อนๆ เข้าด้วยกัน เดี๋ยวอันนี้จะอธิบายในตอนต่อไปละกัน ซึ่งจุดประสงค์ของการทำเป็น Circle ก็เพื่อจัดการ Content ของเราให้มีความเป้นส่วนตัวมากขึ้น เช่น อันไหนอยากให้ Circle ไหนเห็น ก็สามารถเลือกได้เลย แถมการทำ Circle ยังช่วยในการเลือกจะอ่าน Content ของคนใน Circle นั้นได้อย่างสะดวกสบาย เหมือน List ใน Facebook กับ Twitter นั่นเอง

Facebook Group มันยังจำเป็นอยู่นะ :\


แต่ Google+ ก็มี Communities มาให้ใช้เช่นกันครับ น่าจะดีกว่า Facebook Groups ด้วยนะ มันสามารถแยกหมวดหมู่โพสได้ ค้นหาได้รวดเร็ว ตั้งประเภทกลุ่มก็ได้เหมือนกัน ลองไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ สังคมของคนคิดเหมือน : Google+ Communities เลยฮะ พอดีผมเขียนแนะนำไว้นานละ ละเอียดยิบเลย

ภาพเปรียบเทียบระหว่างสาวที่ใช้ Google+ และ Facebook ฮ่าๆๆ (ภาพจาก ptkdev)

แล้วอะไรหละต่างจาก Facebook บ้าง


(ทำใจแบบนะ...ฮึ๊บ!) ใน Google+ มีฟีเจอร์อันมหาศาลไว้มากมายให้ลองเล่นกัน รวมไปถึงมีความน่าสนใจอย่างมากมาย ยกตัวอย่างเช่น  เรื่องภาพถ่ายที่อัพโหลดไฟล์ปกติหรือ raw ก็ได้, ทำ auto awesome ได้, เรื่องของ Google Hangouts, ส่วนแอพมือถือก็มีของเล่นอีกเพียบ (Location, Auto Backup), มี Mr.Jingle เป็นมาสคอต, ระบบ Page ที่ไม่ซับซ้อน บลาๆๆๆ โอ๊ยเยอะครับ ให้พูดในนี้ไม่หมด เดี๋ยวจะทยอยรีวิวไปเป็นส่วนๆ ละกันนะ (หลอกให้อ่านต่อไป อิอิ) ที่สำคัญ ตั้งแต่ใช้ Google+ มา ไม่เจอโฆษณาในนี้เลยซักตัวเดียว โล่ง โปร่ง สบาย~

ตารางเทียบฟีเจอร์ระหว่าง Facebook และ Google+


อันนี้เป็นการเทียบอย่างคร่าวๆ นะครับว่าทั้งสองอย่างต่างกันอย่างไร เพื่อประกอบการตัดสินใจ


จากนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นเดินทางเรียนรู้ Google+ กับผม ถึงจะไม่เชี่ยวชาญเป็นแฟนพันธุ์แท้ แต่ก็พอจะอธิบายให้ฟังได้บ้างแหละครับว่าอะไรเป็นอะไร (ขนาดใช้บ๊อยบ่อย ของบางอย่างก็ยังไม่เคยได้ใช้เลย -*-) ในตอนหน้าเดี๋ยวเราจะไปรู้จักกับ Google+ ให้ลึกกว่านี้ รวมถึงเรื่องของการใช้งานเบื้องต้นกันนะฮับ

ข้อมูล : Google Plus Daily
ลืมบอกกันไปเลยสินะว่าเรา... "เรียนจบแล้วโว้ยยยยยยยยย"


จบตั้งแต่วันเสาร์ที่ 18 มกราคม รวม 130 หน่วยกิต เกรดก็ตามนั้น เฮ้อ เสร็จสิ้นกันซักทีชีวิตในวัยเรียน นี่ลองคิดๆ ดูแล้วนะ ผมใช้เวลากับการเรียนน่าจะ 18 ปีได้ นับตั้งแต่อนุบาล 2 ลากยาวมาจนถึงมหาวิทยาลัย อยากเขียนขอบคุณครูบาอาจารย์ เพื่อนๆ เจ้าหน้าที่ พนักงานในโรงเรียนเอยหรือมหาวิทยาลัยเอยเป็นชื่อคงจะยาวมาก บางคนจำได้บ้างไม่ได้บ้าง เยอะแยะไปหมด

ตั้งแต่อยู่บ้านหลังจากส่งงานการเสร็จ มันรู้สึกเลยนะว่าอารมณ์เปลี่ยนๆ ไปเยอะ ทุกวันอยู่มอต้องทำงาน อยู่กับเพื่อน ทำโน่นนี่นั่น กลับมาบ้านก็ได้แต่กิน นอน เล่นกับหมาแมว จับเม้าส์จะทำงานแล้วก็ปิดโปรแกรมไป นอนดึก ตื่นเที่ยง เสพย์บันเทิง พูดง่ายว่า "ขี้เกียจแดก" เฮ้อ เพลียตัวเองสุดๆ ตอนนั้น คืออย่านึกว่าเราเป็นเด็กเกาะพ่อแม่กินนะ ก็ไปช่วยแม่ขายของบ้างไรบ้างแหละ ออกหางานแล้ว แต่ก็ไม่ได้บ้าง ไม่ถูกใจมาก (เรื่องมากเนอะ) สุดท้ายพี่เหมียว หัวหน้าทีมที่เคยฝึกงานอยู่ NECTEC ก็เลยโทรมาชวนให้กลับไปทำ Outsource 2 เดือน ค่าตอบแทนก็อู้หูอ้าหาเหมือนกัน ตอนโทรมาตอนนั้น มันดันเกิดความสับสนเยอะอยู่ ไหนจะที่พักที่ไม่อยากกลับมาหอกอล์ฟวิวบ้าง ม็อบบ้าง อะไรบ้าง ไหนจะค่าใช้จ่ายในการลงทุนแรกที่แม่ต้องจ่ายอีก เลยให้แม่ฟันธงเลยละกัน พอไปปรึกษากับแม่ คำพูดแม่ตอนนั้นเหมือนเห็นเราอยู่บ้านก็คงเบื่อ เลยบอกให้มาทำเลย ดีกว่าอยู่เฉยๆ ไปวันๆ วันต่อมาก็เลยโทรไปตอบตกลงพี่เค้าซะเลย ฉะนั้น ตอนนี้ เวลานี้ อยู่หอกอล์ฟวิวเหมือนเดิม ตึกเดิม ห้องเลขเปลี่ยนไปตัวเดียว (อืมนะ..) เลือกที่พักเดิมเพราะใกล้สุดละแล้วก็ถูกด้วย ส่วนที่ทำงานก็ที่เดิม ระยะเวลา 2 เดือน นั่นหมายความว่า ผมคือ มนุษย์วัยทำงาน Level.Novice เรียบร้อย ^^


ถ้าให้พูดตามช่วงวัย นี่ก็ 22 ละ น่าจะเป็นช่วงวัยรุ่นตอนปลายๆ แล้วมั้งนะ คือ 25 มันคงเริ่มหมดความเป็นวัยรุ่นแล้ว 26 ก็เริ่มอัพระดับเป็นผู้ใหญ่วัยแรกเริ่มประมาณนี้ ถามว่าทำงานมาสองวันรู้สึกยังไง ถ้าให้ตอบมันก็ยังบอกได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่ เพราะสถานที่นี้เราก็คุ้นชินมาแล้วตั้ง 4 เดือน แต่ต้องให้สนิทมากขึ้น ส่วนตอนทำงานมันทำงานได้เต็มที่เหมือนกันนะ ตอนเรามาฝึกงานมันยังติดเล่นโน่น ทวีตถี่ ไร้สาระไปวันๆ สุดท้ายก็หมดแต่ละวันไปอย่างน่าเสียดาย แต่สองวันที่ผ่านมามันไม่ใช่แฮะ เราทวีตไม่ถี่เท่าไหร่เมื่อมาเช็คดู แถมสมาธิตอนทำงานก็มีมากขึ้นหน่อยๆ ทำงานได้สบายขึ้นด้วย เพราะมันไม่มีอะไรต้องกังวลละ เพียงแต่ต้องทำหน้าที่ ณ ตอนนี้ให้เต็มที่และดีที่สุดและตามระยะเวลาให้ดีก็พอแค่นั้นเอง

ในวัยเรียนเรามักจะได้ยินเสมอว่า "เข้ามหาลัยเดี๋ยวก็อิสระแล้ว" พอเข้ามหาลัย "เดี๋ยวปี 4 ก็สบายแล้ว" พอขึ้นปี 4 "ทำงานก็สบายแล้ว" พอจบ.. สบายจริง แต่ไม่มีตังกินข้าวเอง อืม.. ก็ลองคิดดูละกัน มนุษย์เรามันไม่ได้สบายตลอดไปหรอก ยกเว้นแต่พวกหนูตกถังข้าวสารแค่นั้นแหละ ที่จะบอกสุดท้ายก็คือ ชัีวิตมนุษย์ไม่ได้สบายตลอดรอดฝั่งหรอกนะ มันต้องมีหนทางให้เราฝ่าไปเรื่อยๆ เหมือนเล่นเกมนั่นแหละ พอ Level แรกๆ ก็ง่ายๆ สบายๆ แต่ไม่มีอาวุธ ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย พอ Level ยิ่งมาก มันก็ยิ่งยาก ยิ่งเหนื่อย แต่พอผ่าน Level นั้นมาได้ สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ ค่าประสบการณ์มากมาย มิตรภาพดีๆ และความรู้ซึ่งเป็นอาวุธชั้นยอดที่หล่อหลอมให้เราแกร่งกล้าพอที่อยู่ในสังคมอันแสนโหดร้ายนี้ได้ ที่สำคัญ ถ้าเด็กๆ คนไหนโดนรุ่นพี่บอกว่า "...จะสบายแล้ว" ตอบกลับคนนั้นไปแล้วก็ยิ้มให้งามๆ ด้วยว่า "ตายแล้วนั่นแหละ ถึงจะสบาย :)" 

เสร็จเป็นรูปเป็นร่างเรียบร้อย ตอนแรกว่าจะเขียนอะไรเยอะแยะ ซักพักก็มานั่งนึกได้ว่า... ภาพมันก็เล่าเรื่องอยู่แล้วปะนาย ก็เลยจัดการเอามาทำเป็นเว็บที่ไม่ได้มีแบบแผนในการเขียนแต่อย่างใด แถมทำลวกมากๆ ดีนะมี Bootstrap ช่วย ไม่งั้นตายหองแน่ๆ ยังไงก็เข้าไปเล่น เข้าไปส่อง Year In Review ของผมได้เว็บด้านล่างเลยนะคร๊าบ ชอบไม่ชอบ เจออะไรไม่ถูกใจก็มาติชมกันได้ที่บล็อกนี้นะ เว็บนั้นไม่ได้แปะกล่องคอมเมนท์ไว้ ปีหน้าสัญญาว่าจะทำให้มันมีลูกเล่นมากขึ้นกว่าเดิมละกัน :3

http://2013.itsvee.in.th