บล็อกจับฉ่ายนายวีวี่คลุงซ์

"Because the story on your life never end."
Follow Me

สัปดาห์ที่ 6


  • สัปดาห์ที่ 6 แล้ววววว เร็วโคตรๆ เลยอะ แป๊บเดียวจะครึ่งทางแล้ว
  • ในสัปดาห์นี้ ยอมรับว่าเป็นสัปดาห์ที่โคตรพ่อโคตรแม่ขี้เกียจเลย (จริงๆ นะ) คือวันจันทร์เค้ามีสัมมนาอะไรไม่รู้ คือหัวหน้าแลปบอก วันนี้มีสัมมนานะลงไปด้วย ไอ้เราก็นึกว่ามีใครสอบจบหรือเปล่าว้า เห็นช่วงนี้เด็กฝึกงานหายเงียบเลย ผิดคาดแฮะ งานประชุมของ NECTEC กับมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่น ก็เลยไปเป็นเด็กช่วยทำงานละก็นั่งฟังบ้าง สลับกันไป ก็คือไม่ได้งานเลยแหละ 555 พอวันอังคารกับพุธ ไปลงพื้นที่ที่ม.นเรศวรมา คือพี่เลี้ยงกับหัวหน้าแลปเค้าจะไปทำคุยกับอ.ที่ศูนย์ศึกษาพม่าเพื่อขอให้แกมาช่วยทำ Content ให้ เราก็เลยติดสอบห้อยไปด้วยเพราะเผื่ออาจารย์เค้าอยากได้อะไรเพิ่มเติมเราจะได้เพิ่มในงานของเรา ปรากฎว่าความต้องการของอาจารย์ตรงกับความคิดเราพอดีเลย สบายตัว ก็เลยสองวันนั้นโคตรรรรสบาย วันอังคารก็เดินทาง ไปถึงที่พักก็กลิ้งๆ ไปๆ มาๆ กินๆ เที่ยวๆ วันพุธแวะไปมอมาสามชั่วโมงแล้วก็กลับ... ถึงหอก็สลบเลย วันพฤหัสก็นั่งเขียนข่าวให้ Faceblog.in.th ทั้งวัน คือข่าวมันเยอะมากกกก แล้วประชุมไปตั้งแต่เช้าายันเที่ยงเลย บ่ายก็เลยแบบ โอ่ย ขี้เกียจ 555 ก็เลยนั่งเขียนข่าวดีกว่า พอวันศุกร์ คอสเพลเป็นพนักงานออฟฟิศที่เจ้านายต้องเอือม คือ เข้างานสายมาก เกือบๆ 9 โมงได้เลยมั้ง พอเย็นก็ขอกลับก่อน 5555 (เลวอิ๊บอ๋าย Orz) นั่นละฮะ ถึงบอกว่าทั้งสัปดาห์โคตรพ่อโคตรแม่ขี้เกียจจริงๆ
  • แต่เรื่องที่เสียด๊ายเสียดายที่สุดคือ ลืมไปว่าอาทิตย์ที่เจ๊นานามิกลับญี่ปุ่นแล้ว (เดือนนึงนี่เร็วขิงๆ) แล้วก็จำได้ว่าแกบอกว่ากลับวันพฤหัส แต่เราเข้าใจว่า เลิกฝึกวันพฤหัส ก็เออ กะว่าเดี๋ยวกลับมาจากพิษณุโลกมาถ่ายรูปไว้ให้อิจฉาซะหน่อย พอมาถึงแลปวันพฤหัส เฮียแชมป์ (@sitdh) ก็แว๊บ้อาของฝากของเจ๊นานามิมาให้ โฮฮฮฮฮฮ แบบว่าสุดซึ้งเลยอะ ได้ซุปมิโซะมั้ง (เค้าว่างี้) กับจดหมายกระดาษนกพับมา 1 ใบ ตอนแรกก็คิดว่าพับมาเล่นๆ พอส่องกับไฟ อ้าว มีข้อความนี่ แกะออกมา โฮฮฮฮ ไม่คิดว่าจะมีเพื่อนชาวต่างชาติที่ใจดีและน่ารักแบบนี้จริงๆ แถมท้ายจดหมายบอกว่า ถ้าไปญี่ปุ่นให้บอกด้วยนะ แล้วก็ให้เบอร์โทร ที่อยู่ อีเมล์พร้อมเลย โฮฮฮฮฮ พี่ว่าพี่ต้องไปแล้วละ 5555 ยังไงก็ขอบคุณพี่นานามิมากนะคร๊าบ~ ありがとうございます。 ~
  • เอ้อ บ่นอีกเรื่อง ช่วงนี้ใช้ตังเป็นใบไม้เลย จ่ายออกซะแบบ ฮือออออ เสียดาย สงสัยต้องเก็บเงินให้ดีซะละ จะได้เปิด Startup แข่งกับเค้าบ้าง (เดี๋ยวๆๆ)

ครั้งสมัยข้าพเจ้ายังเอ๊าะๆ ตั้งแต่ 3 ขวบ (เดี๋ยวๆ ย้อนเกินไปละ) ตั้งแต่อยู่ปี 1 ก็ได้มีโอกาสเข้าค่ายระดับประเทศอันแสนจะเข้ายากแถมไม่ได้โนเนมเหมือนค่ายคนไอทีทั่วๆ ไปซะด้วย นั่นคือค่าย Young Webmaster Camp นั่นเอง ซึ่งเป็นค่ายที่รวมคนทำเว็บขนานแท้เอาไว้ด้วยกันมากที่สุดในประเทศไทยเลยทีเดียว อีกทั้งใครได้เข้าค่ายนี้จะได้เจอเจ้าของเว็บชื่อดังมากหน้าหลายตาด้วย เช่น พี่ปอนด์เว็บ dek-d.com ,พี่ๆ จากเว็บ sanook.com หรือจะเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Pantip.com เป็นต้น


รู้จัก YWC ได้อย่างไร

จริงๆ ต้องบอกก่อนว่าเคยเข้าค่าย JWC หรือ Junior Webmaster Camp มาก่อน เข้าตอนรุ่น 2 สำหรับเจ้าค่ายนี้จะเป็นค่ายของเด็กมัธยมที่อยากทำเว็บ คือจำได้ว่าเห็นข่าวในเว็บ zone-it.com แล้วอยากเข้ามากกกก คือเราทำเว็บง่อยๆ เป็นแต่เราไม่รู้ไงว่าทำเว็บจริงๆ เค้าทำกันยังไง สมัครไปตอนแรกติดสำรอง ซักพี่ค่ายโทรมาบอกว่า ได้เป็นตัวจริง โฮวววว ไม่คิดไม่ฝัน ฮ่าๆ ทีนี้ตอนเข้าค่ายนั้น ก็เลยทำให้รู้จักกับพี่ๆ YWC 7 ซึ่งตอนนั้นผมเข้าค่ายนี้ตอนม.6 ไง ก็เท่ากับว่าเข้ามหาวิทยาลัยก็ต่อด้วย YWC ต่อได้เลย ก็เลยทำให้อยากเข้าค่าย YWC เพราะอยากเจอพวกพี่ๆ เค้าอีก

จะเข้า YWC ได้ยังไงนะ ?

จริงๆ มันแสนจะง๊ายง่ายเลยละครับ ก็ไปเลือกดูก่อนว่าเราเป็นคนที่ทำเว็บถนัดในด้านใด ซึ่งประกอบไปด้วย

  • Web Design : ด้วยเทคนิคการผสมผสานระหว่างจินตนาการสุดล้ำ กับไอเดียสุดครีเอทีฟ ออกมาเป็นเว็บไซต์ที่เป็นเอกลักษณ์ จากทักษะด้านศิลปะที่โดดเด่น และเทคนิคอลังการที่จะทำให้ทุกคนจดจำเว็บของเราได้ไม่รู้ลืม
  • Web Content : คือผู้นำเสนอเนื้อหาเรื่องราวข่าวสารต่างๆ ในเว็บไซต์ ให้น่าสนใจด้วยเอกลักษณ์และสไตล์ที่เป็นตัวเอง ไม่ซ้ำใคร สร้างสรรค์เนื้อหาเฉพาะตัวที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้ แบบนี้ คำกล่าวที่ว่า “Content is King” ก็คงฟังดูไม่ผิดเท่าใดนัก
  • Web Marketing : นักธุรกิจแห่งเว็บไซต์ ผู้เป็นคลังสมองและกุนซือของเว็บ หาก content คือฝ่ายบู๊ marketing คือฝ่ายบุ๋น ที่จะนำเอากลยุทธ์ทางการตลาดและความรอบรู้มาใช้เพื่อนำพาเว็บไซต์ของเราให้เป็นที่รู้จักอย่างทั่วถึง
  • Web Programming : สุดยอดเบื้องหลังที่นำพาเว็บไซต์ไปสู่ความสำเร็จ เนรมิตจินตนาการของทุกฝ่ายให้เป็นจริง ทรงพลัง อาศัยเทคนิคการเขียนโปรแกรมอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างเว็บไซต์ระดับสุดยอดให้ทุกคนได้รู้จัก

(คือไม่ได้พิมพ์เองนะ มีคนเค้าเขียนไว้แล้วด็เลยก๊อปมาอีกที)

พอเลือกได้แล้วว่าตัวเองถนัดสายไหนก็ไปกรอกใบสมัครออนไลน์ซะ ทั้งนี้เค้าก็จะมีโจทย์ถามในใบสมัครด้วย โดยแต่ละสาขาก็จะมีคำถามที่ต่างกันไป รวมทั้งใครมี Portfolio ก็สามารถแนบส่งไปได้ด้วย (คนที่มีก็จะเหมือนมีหลักฐานมัดตัว เอ๊ย! หลักฐานที่แสดงว่าเราเก่งในด้านนั้นจริงๆ นะนี่นะ) พอส่งใบสมัครเสร็จก็รอร๊อรอ รอให้ท่านคณะกรรมการคัดเลือกผู้ที่เข้ารอบไปรอบต่อไป นั่นคือรอบสัมภาษณ์นั่นเอง ทั้งนี้เค้าก็ไม่ได้มีการรับทุกคนเข้าสัมภาษณ์นะครับ ใครมีฝีมือเจ๋งๆ เข้าตากรรมการก็จะได้เข้ารอบนี้ไปนั่นเอง


ส่วนรอบสัมภาษณ์ก็จะมีการสัมภาษณ์ผู้เข้ารอบจากคณะกรรมการที่เลือกเข้าไปนั่นเอง โดยสามารถเลือกสัมภาษณ์ได้ทั้งกับกรรมการโดยตรงหรือสัมภาษณ์ออนไลน์ก็ได้ เมื่อเข้ามาสู่รอบนี้ก็เตรียมตัวรับมือกับท่านกรรมการให้ดีๆ เจอคำถามไหนที่เราตั้งตัวไม่ทันก็ต้องคิดให้ทันเวลาและมั่นใจกันด้วยนะ

เมื่อผ่านการสัมภาษณ์แล้ว จากนี้ก็ทำการตั้งหน้าตั้งตารอว่า จะได้เป็นตัวจริงของค่ายนี้หรือไม่ ก็รอดูประกาศจาหน้าเว็บเลย เมื่อได้เป็นตัวจริงแล้ว ก็เตรียมตัวมาค่าย YWC ได้เลย! (ลืมบอกไปว่า ไม่สามารถเปลี่ยนสายได้นะ เช่น สมัคร Design พอเป็นตัวจริงเปลี่ยนใจไป Programming ไม่ได้นะเออ)

ประสบการณ์ภายในค่าย


เด็กรุ่น 8 อย่างผมเป็นรุ่นแรกที่ได้เข้าที่มหาวิทยาลัยนเรศวรเลย ซึ่งก่อนหน้านี้เค้าจัดที่มหาวิทยาลัยบูรพามาก่อน แล้วก็พอมาเป็นรุ่น 8 ก็มาจัดที่มน. จัดได้อยู่ถึง 3 ครั้ง ปีนี้ก็ย้ายกลับไปจัดที่ม.บูรพาเหมือเดิม ก็เลยไม่รู้ว่าสถานที่เป็นยังไง เพราะก็ไม่เคยไปเหมือนกัน ฉะนั้นจะขอเล่าบรรยากาศคร่าวๆ ละกัน ไม่อยากสปอยด์มาก เดี๋ยวจะไม่สนุก อิอิ


ภายในค่าย 4 วัน 3 คืนก็จะได้พบกับพี่ๆ เจ้าของเว็บดังๆ ทั้งหลายในประเทศไทยอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เท่านั้นยังไม่พอ จะได้ทำ Workshop จริงๆ โดยจะมีการจับกลุ่มกันและทำเว็บตามโจทย์หัวข้อในปีนั้นๆ ซึ่งปีนี้จะเป็นหัวข้อว่า Web Change The World ก็ต้องเอาโจทย์มาตีแตกและคิดกันในกลุ่มว่า จะทำเว็บอะไร ยังไง โดยนำความรู้ที่มีของแต่ละคนมาระดมสมองกันให้สนุก แล้วนำไปเสนอให้กับพี่ๆ กูรูว่าจะเสนอขายผ่านหรือไม่ เมื่อผ่านก็จะเข้ากระบวนการทำเว็บให้เสร็จ จากนั้นวันสุดท้ายก็จะเป็นวันขึ้นเขียง เอ๊ย! วันนำเสนอผลงาน ก็งัดความเป็นมืออาชีพนำเสนอเว็บของตัวเองให้ชนะใจกรรมการและพี่ๆ กูรูนั่นเอง ซึ่งจริงๆ ในงานก็มีกิจกรรมมากมายกว่านี้อีก แต่ก็ขอเล่าแค่เบื้องต้นละกันเนอะ

เข้าค่ายนี้แล้วได้อะไร ?

เยอะมากกกกกกกกกกกกก เขียนด้วยกระดาษ A4 1 รีมยังไม่พอเลย (เกินไปละๆ) ก็เอาเป็นข้อๆ ละกันว่าไปค่ายนี้ได้อะไรบ้าง
  • ได้ Connection ใหม่ๆ : จากเป็นคนที่ไม่รู้จักคนในแวดวงคนทำเว็บเลยซักคน พอได้เข้าค่ายนี้ทำให้เรารู้จักคนในแวดวงนี้มากขึ้น ได้มิตรภาพดีๆ แถมได้ความรู้และเทคนิคใหม่ๆ จากพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคนในค่ายอีกด้วย
  • ได้ความรู้หลากหลาย : ไม่ใช่แค่ว่าไปทำ Web Design ก็จะรู้แค่นั้น เราจะได้ความรู้จากสายอื่นๆ อีกเช่น การทำ Web Application กับการ Design หรือการออกแบบยังไงให้เตะตาการตลาด
  • ได้มุมมองการทำงาน : เป็นคนที่ไม่เคยทำงานกับคนเป้นกลุ่มหรือทำเว็บก็ฉายเดี่ยวตลอด พอได้มาค่ายนี้ทำให้เรารู้จักการทำงานเป็นทีมเวิร์คอย่างแท้จริง คือเราไม่ต้องกังวลว่าทำระบบไม่ได้หรือว่าจะโปรโมทเว็บไม่เก่ง คนในกลุ่มจะช่วยให้เว็บของกลุ่มสำเร็จได้เอง
  • ได้แรงผลักดัน : เราจะไม่รู้เลยว่าถ้าเราอยู่เฉยๆ ทำเว็บไปวันๆ เพื่อให้ได้เงินก็เท่ากับเดินย่ำอยู่กับที่ แต่หาก YWC นี้จะช่วยให้คุณมีแรงขับเคลื่อนในการอยากทำเว็บมากขึ้นๆ นั่นเอง
  • ได้แก้ปัญหาที่ยังคาใจ (ข้างในลึกๆ~) : บางคนเคยสงสัยว่าเค้าทำไอ้ตรงนั้นยังไง ไอ้เว็บนี้มีเทคนิกอะไรมั้ย แล้วก็ไม่ได้คำตอบซักที มาเจอกูรูตัวพ่อตัวแม่ค่ายนี้ รับรองว่าจะหายสงสัยอย่างแน่นอน
หมดละ (โหย นึกว่าจะเยอะ) จริงๆ มันก็มีเยอะกว่านี้แหละครับ แต่นึกไม่ออก (ฮ่าๆ) แต่ผมว่าการที่ได้ Connection ในค่ายคือสิ่งที่แจ่มที่สุดละในความคิดผมนะ

อยากสมัครแล้วว ทำไงบ้าง

ไม่อยากครับ เข้าไปที่ www.ywc.in.th เลย แล้วก็เลือกสายที่สนใจ แล้วก็ทำตามขั้นตอนอย่างที่บอก แค่นี้เอง ก็ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับพวกเราครอบครัว YWC แล้ว อ้อ ขอบอกว่างานนี้ ฟ.....ฟรี !!! ตลอดงานนะ ยังไงก็อย่ารอช้า รอบแรกปิดรับสมัครถึงวันที่ 30 กันยายนนี้เท่านั้น โดยค่ายจะจัดในวันที่ 24-27 ตุลาคม 2556 ที่มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี ยังไงสนใจมากกว่านี้ก็ติดตามรายละเอียดได้ที่ Social Network ด้านล่างนี้เลยนะครับผม :3

 YouTube: http://youtube.com/ywcth


แล้วเจอกันที่ค่าย TRUE [Y]oung [W]ebmaster [C]amp ครั้งที่ 11 นะครับ ^^

ปล.๑ : ขอบคุณรูปจากพี่ +Tanaphong นะฮะ หายากมากรูปค่าย 8
ปล.๒ : ที่ใช้รูปค่าย 8 เพราะอยากให้รู้ว่าค่ายนี้เค้ามีมานมนานแล้วนะ :v
เค้าบอกว่าธรรมเนียมของคนไปงาน BarCamp ไม่ว่าจะประเทศไหน จักรวาลไหน สิ่งที่คุณต้องทำคือการกลับมาเขียนบล็อกว่าคุณได้อะไรจากการไปงานนี้บ้าง ซึ่งใครใคร่อยากเขียนก็เขียน ไม่อยากเขียนก็ไม่มีใครว่าท่านแต่อย่างไร


ปีนี้เป็นปีแรกครับที่ได้ไปงาน BarCamp Bangkhen จัดที่ม.เกษตรทุกปี ซึ่งปีนี้จัดเป็นครั้งที่ 4 โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมงานนี้ถึง 700 กว่าคนเลยทีเดียว รายละเอียดงานคร่าวๆ ก็เหมือนงานสัมมนาที่ผู้เข้าร่วมมีสิทธิกำหนดเรื่องราวที่พูดได้เอง (รายละเอียดแบบเยอะๆ) อีกทั้งเรื่องราวที่พูดก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่อง Programmer หรือ IT เสมอไป เพราะปีนี้แทบจะหลากหลายจริงๆ ตั้งแต่เรื่องสุขภาพ เรื่องดนตรียันไปถึงเรื่องไสยศาสตร์! (ดูรายชื่อ Sesssion ในปีนี้) ตั้งแต่งานเริ่มจนจบ After Party ผมว่าใครพลาดพิธีเปิดงานนี้โคตรเสียดายเลย ถึงพิธีเปิดมันจะดูง่ายๆ แต่ว่าทำให้ผู้เข้าร่วมทุกท่านได้มีส่วนร่วมในงานด้วยการทวิต แล้วติดแท็ก #bcbk เข้าไป ก็จะแสดงเป็น Timeline บน Projector ให้ได้เฮฮากัน (แรกๆ ก็มีสาระ หลังๆ เริ่มออกทะเลซะงั้น)


ตอนแรกก็อยากเป็นแค่คนไปนั่งฟังในแต่ละ Session แต่คิดไปคิดมา ไหนๆ ก็พอมีติดตามเรื่อง Trends ใน Social Network มาพอตัว ประกอบกับเป็น Writer ที่ Faceblog.in.th ด้วย ก็เลยปรึกษาพี่ +Moon Buu (@buumoon) ว่าไปออกซัก Session เป็นการโฆษณาเว็บไปในตัวละกัน เดี๋ยวผมพูดเอง

เรื่องตอนแรกที่จะพูด กะจะพูดเกี่ยวกับเรื่อง Marketing Online ระหว่าง Line กับ Facebook ว่าใครจะคุ้มกว่ากัน แต่ก่อนจะมางานออกไปทำธุระมากว่าจะถึงห้องก็เผลอหลับไปอีก -*- ก็เลยไม่พูดดีกว่า ปรากฎว่าวันมางานมางานสายมาก ตอนแรกเค้าแปะให้โหวต Session กันแล้ว ก็ถอดใจไป พอถามเพื่อนว่าเค้ายังให้เปิด Session ได้อีกมั้ย พอบอกว่าได้ เราก็พอมีความหวังอยู่บ้าง แล้วในสมองตอนนั้นคือไม่เอาเรื่อง Marketing Online มาพูดดีกว่า เพราะข้อมูลยังไม่แน่นพอแถมดูจะซีเรียสเกินไป ก็เลยมีการโหวตอยู่ในสมองตัวเองว่า ระหว่าง เอาเรื่องของการก๊อปปี้ผลงาน หรือ เหตุจูงใจในการมีกระทู้พันทิปแปลกๆ มาพูดดีๆ ถามคนรอบข้างกับถามความเชี่ยวชาญแล้ว ตัดสินใจพูดเรื่องก๊อปปี้ละกัน โดยให้ชื่อ Session ว่า "ของฝากนักก๊อป" (ต้องขอขอบพระคุณเพจ ของฝากนักก๊อบ ที่เป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อ Session และขอขอบพระคุณผู้เข้าร่วมงานที่โหวตเรื่องนี้กันนะครับ -/\-)

ขอบคุณภาพจาก : @fbinth
สำหรับเนื้อหาใน Session อื่นๆ ต้องขอบอกว่า ไปเข้าฟังก็เหมือนไม่ได้ฟังเพราะมัวแต่ปั่นสไลด์ กลัวไม่เสร็จ ต้องขอโทษ Speaker ในหลายๆ Session ที่ผมเข้าไปแล้วไม่ตั้งใจฟังด้วยนะฮะ T^T แต่ว่าก็แวะเวียนไปนั่ง Session ของ +GDG Thailand อยู่ ไปเรียกว่าเป็นหน้าม้าจะดีกว่า (ฮา) ซึ่งพี่ +Wittaya Assawasathain (@witoh) ก็ให้ความรู้กับผู้เข้าฟังกับเรื่อง GDG Thailand อย่างครบทุกเรื่อง รวมถึง Recap งาน Googl I/O 2013 และงาน GDG DevFest Bangkok ที่ผ่านมาอีกด้วย ส่วน Session น้อง +Thai Pangsakulyanont (@dtinth) เรื่อง Vim พี่ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ตั้งใจฟังเพราะพี่ก็งงว่าน้องทำอะร๊ายยยย ส่วน Session เรื่องกู้บ้านของพี่ +Peerapat A (@nuboat) ก็ทำให้เข้าใจเรื่องการซื้อบ้านได่ง่ายขึ้น แถมรู้ด้วยอีกว่า เขียนโปรแกรมเองได้ฟังก์ชันเยอะกว่า Excel ซะอีก! น่าจะเข้าแค่นี้นะเท่าที่จำได้ นอกนั้นก็ไปอู้ปั่นสไลด์อยู่

เอาละ ก็ขออนุญาตโฟกัสไปที่ Session ของผมเลยละกัน กับ "ของฝากนักก๊อป" เนื้อหาสาระคร่าวๆ ใน Session นี้ก็จะพูดถึงเรื่องของการคัดลอกผลงานกันใน Social Network ที่เกิดขึ้นแบบไม่หยุดไม่หย่อน ก็เลยยกเหตุผล, Case Study และการทำ Content อย่างไรให้มีความแตกต่างและน่าสนใจในแง่ของ Branding (พาร์ทหลังนี่สาระล้วนๆ)


แล้วก็เปิดโอกาสให้แลกเปลี่ยนเหตุการณ์โดนหวดวงสวิงจาก "โปรก๊อป" กัน ซึ่งจริงๆ สิ่งที่ผมคาดหวังแค่ว่า อยากให้ภายในสังคมออนไลน์เกิด Content ใหม่ๆ จากไอเดียของคุณก็พอและผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะให้ทุกๆ คนรู้จักกับ CC (Creative Common) ซะด้วยซ้ำ แต่เกินคาดครับ ผมได้รับความรู้เองมากมายด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การก๊อบทวิตเกิน 3 ครั้ง ของพี่ +icez wangthammang (@icez)

และเรื่องอื่นๆ ที่ทุกคนแลกเปลี่ยนความเห็นกันเข้ามา เช่น
  • การให้เครดิตกับเจ้าของผลงานก็จริง แต่ถ้าเจ้าของไม่ยอม ก็มีสิทธิที่จะเรียกร้องตามกฎหมายได้
  • เหตุผลที่มากกว่าข้ออ้างว่า ทำไมคนขี้ก๊อปก็ยังก๊อปอยู่ดี ก็มีพี่ @icez ช่วยตอบให้อีกเช่นในแง่จิตวิทยาว่า "เค้าต้องการพื้นที่ในสังคม" แค่นั้นเอง
  • ไม่ว่าจะทวิตคำคมสวยหรูขนาดไหน พี่ +Prachya Singhto (@iannnnn) ก็บอกด้วยว่า ทุกสิ่งอย่างถือเป็นผลงานของเรา เรามีสิทธิที่จะเรียกร้องได้หมด
  • มีพี่ท่านหนึ่งด้านหน้าก็ให้ความรู้ว่า ภาพไหนก็ตามที่อัพขึ้น Instagram แล้วมีลายน้ำหรือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าภาพนี้คือของเรา ภาพนั้นคือของเรา แต่หากภาพไหนก็ตามถ่ายแล้วอัพขึ้นไปโดยไม่ใส่อะไรเลย ภาพนั้นจะมีสถานะเป็นสาธารณะกลายๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาไปใช้ดัดแปลงหรือขายได้นะครับ เพราะมี Legal ของ Social Network นั้นๆ รับรองอยู่นะ
  • แล้วก็มีท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า ถึงจะติด CC ในเว็บหรืออะไรก็ตาม ถ้าตาสีตาสาไม่รู้จัก ยังไงเค้าก็ไม่รู้อยู่ดี แปะไปก็เท่านั้น
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงความรู้และการแลกเปลี่ยนส่วนหนึ่งภายใน Session "ของฝากนักก๊อป" ที่ผมคิดว่า Session นี้ ไม่ใช่แค่ของผมหรือของ Faceblog แต่มันคือของทุกๆ คนเลยละครับ (พิมพ์ให้หล่อ อิอิ) และผมก็ยังตื่นเต้นไม่หายที่มีผู้เข้ามาร่วมฟังเยอะมากกกกก เยอะจนผมก็เกร็งเลยละ ฮ่าๆ แต่ยังไงผมและทาง Faceblog.in.th ก็ต้องขอขอบพระคุณผู้ที่เข้าร่วมฟัง Session พวกเราทุกๆ ท่านนะครับ รับรองว่างานหน้า จะหาเรื่องมาให้ชาว Social Network ได้สนุกกันอีกแน่นอน :)




** ต่อไปนี้เป็นเรื่องดราม่า โปรดใช้วิจารณญาณในเสพย์ (แถมยาวด้วย ขี้เกียจอ่านก็เลื่อนข้ามไป) **


และแล้วก็มีเหตุการณ์ที่จริงๆ ผมไม่ได้ตั้งตัว แต่คิดว่ามันก็เป็นเคสที่น่าสนใจ (หลังจากเรื่องนี้จะมีแต่นามสมมตินะครับ จะได้ไม่ต้องมีการพาดพิงใคร) คือ ผมก็รู้จักกับคุณ A เจ้าของเว็บ ค มานานแล้ว เค้าก็ถามว่าจะพูดเรื่องอะไร ผมก็บอกเค้าไปว่าจะพูดเรื่องนี้แหละ บลาๆๆ เค้าก็เสนอว่า เนี่ย ผมมีเคสนึง น่าสนใจนะ เว็บ อ เนี่ยเค้าก๊อปเว็บผมมา คุยดีๆ ก็แล้วโต้กันไปมาเกือบเดือนแล้วยังไม่เคลียซักที ผมก็ขอรูปเค้ามาก่อน ซึ่งผมก็รู้จักกับเว็บ ค มานานแล้วก็รู้ด้วยว่าจุดกำเนิดมันมาจากไหน (เรื่องนี้ไม่คิดว่าตัวเองจะฟังความข้างเดียวแน่ๆ แต่ในแง่คนทำเว็บ ถึงจะมีเว็บคู่แข่งที่เกิดขึ้นมาเหมือนกันก็จริง แต่ถ้ามี Design หรือการออกแบบใดๆ ที่มีการลอกเลียนเกิดขึ้น ถึงแม้ Logo จะใช้ Font เดียวกัน มันก็ดูเป็นการจงใจเกินไป) ซึ่งผมก็ไม่ได้เอาลงเคสนี้ Slide เลย แล้วก็ไม่เป็นประเด็นในการพูดด้วย เพราะเราต้องการพูดเรื่องการก๊อป Content ในสังคมออนไลน์เท่านั้น พอตอนจบ Slide ก็เป็นตอนที่ให้แลกเปลี่ยนกัน ซึ่งก่อนจบงานคุณ A เค้าก็ถามขึ้นมากลางห้องว่า แล้วถ้าก๊อปเว็บนี่ต้องทำอย่างไรครับ ถึงผมก็แอบสะดุ้งเหมือนกัน (แล้วก็แอบยอมรับว่าเหลิงนิดหน่อยด้วย - -") ซึ่งทุกคนในงานดูเหมือนจะสนใจ เค้าเลยบอกให้ผมเปิดภาพให้ดู ซึ่งต้องบอกตามตรงว่าเราไม่ได้เตี๊ยมกันมาก่อนแน่นอน แล้ว Faceblog.in.th ก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันเรื่องนี้แน่นอน อีกทั้งผมก็ไม่รู้ว่าเจ้าของเว็บ อ ดันจะมาต่อใน Session ผมซึ่งผมก็ไม่ทราบมาก่อน เพราะตอนดูล่าสุด Session ที่ต่อจากผมมันยังว่างอยู่เลย ก็เลยเปิดรูปที่คุณ A ให้ผมมา ทำให้เกิดเสียงเซ็งแซ้ในห้องเลยทีเดียว เพราะความที่มัน Inspiration ซะขนาดนั้น... ขนาดพี่แอนผู้คล่ำหวอดในวงการ Design ยันออกปากว่า No Comment เลย ซึ่งพอหลังจากที่จบ Session และทุกคนออกจากห้องมา ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปรากฎว่าพอจบงาน Twitter ของเว็บ อ กลับมีทวิตที่เสียดสี ประชดประชันการกระทำที่ผมและคุณ A ได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้น โดยเค้าทวิตเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาในแง่ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเว็บเริ่มติดลบลงไปเรื่อยๆ ถ้าใครตามอ่าน Tag หลายๆ ท่านจะให้ความเห็นเหมือนที่ผมคิดเห็นเหมือนกันคือ "คุณควรจะออกมาบอกว่า ถ้าคุณไมไ่ด้ก๊อป ส่วนไหนที่ไม่ได้ก๊อป แล้วทำไมคุณไม่ยกมือแล้วแก้ต่างภายในห้องให้ทุกคนเข้าใจ แต่คุณกลับมาทวิตหลับหลัง" ซึ่งผมขอมองเรื่องนี้แบบเป็นกลาย ถึงแม้จะรู้จักกับคุณ A ก็ตาม แต่ผมก็รู้ว่าเ็ว็บเค้ามาก่อนแน่นอน จริงๆ ถ้ามองง่ายๆ เว็บไม่ได้ถูกก๊อปครับ จริงๆ เรียกว่า เลียนแบบ มากกว่า แต่ในแง่คนทำเว็บด้วยกันผมก็รับไม่ได้นะที่มีการเลียนแบบตั้งแต่ Logo Font เดียวกัน ไปจนกระทั่งการใช้ Layout ของเว็บที่แทบจะเหมือนกันทั้งเว็บ

แล้วถ้าให้ผมมองว่าเราได้อะไรจากเรื่องนี้ เยอะเลยครับ
  • หากคุณอยากทำเว็บภายใต้แนวคิดเหมือนกับคนอื่น คุณต้องทำให้ต่าง ไม่ใช่ เหมือน หรือ เลียนแบบ คุณต้องดึงจุดเด่นว่าคุณมีดีอะไรกว่าเค้า แล้วเดี๋ยวก็จะมีคนมาใช้บริการเว็บของคุณเอง อย่าใช้ตรรกะเหมือนเพื่อถล่มให้คนมาก่อนดับสนิท
  • อย่าใช้ Twitter Branding ในการประชดประชันหรือพูดจาไม่ดี เพราะจะทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์คุณติดลบแน่นอน ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยกับหลายๆ แบรนด์ ซึ่งหากเค้าจะออกมาแก้ตัวหรือต่าง จะต้องใช้คำสุภาพ และแถลงออกมาเป็นอย่างทางการ ไม่ควร พูดจากถากถาง ประชดหรือเสียดสีในกรณีที่คุณคิดว่าคุณไม่ผิดจริงๆ
  • หากเรื่องที่กล่าวมาเป็นเรื่องเข้าใจผิด ควรจะออกมาแก้ต่างด้วยเหตุผลมากกว่าการออกมาพูดประชดให้ดูดีไปวันๆ
ผลสรุปของเรื่องนี้ ผมก็ไม่ทราบว่าสองเว็บนั้นจะไปตกลงกันอย่างไรต่อ แต่ท่าทีของเว็บ อ ตอนนี้ก็เปลี่ยน Layout เว็บแล้ว แต่ก็ยังยึด Pattern การใช้ Font เหมือนเดิม หลังจากนี้ก็คงไม่ตามเรื่องนี้ต่อแล้ว เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของผมซักนิด - - แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อ Faceblog.in.th ก็ขอให้เป็นที่ความผิดของผมที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เองนะครับ ทาง Faceblog ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้นนะครับ



หลังจบงานก็มี After Party มีพิซซ่าที่ทุกๆ คนรอคอย(กินฟรี)กัน แล้วก็มีดนตรีเพราะๆ จากวง iHear Band ซึ่งก็ได้รับเกียรติให้มาเล่นดนตรีในงานนี้ทุกปี ก็ทำให้งานในปีนี้จบลงได้อย่างสนุกสนานและประทับใจตามๆ กัน


สำหรับงาน Barcamp Bangkhen ในปีนี้ นอกจากจะได้ความรู้ ความสนุกและแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันแล้ว สิ่งที่ผมได้มากกว่าสิ่งไหนๆ คือมิตรภาพครับ ได้เจอเพื่อนๆ พี่ๆ ชาว Twitter หลายคนมาก ก็ไม่คิดว่าทุกๆ คนจะเฮฮากว่าใน Twitter ซะอีก ก็หวังว่าปีหน้าจะได้เข้าร่วมงานสนุกๆ แบบนี้อีก แล้วก็รับรองว่าไม่พลาดที่จะนำเรื่องราวใน Social Network ไปเปิด Session ให้ได้สนุกกันนะครับ :3

ปล.๑ ขอบพระคุณ AIS3G มา ณ ที่นี่ 3G คุณพี่เร็วจนผมประทับใจจริงๆ ;w;)/
ปล.๒ ขอบคุณ +Nattawut Rodtong (@iamgotta) ที่ถ่ายรูปในงานไว้เยอะมาก เลยขอเอามาแปะในบล็อกหน่อยนะ ><
ปล.๓ ขอบคุณอีกครั้งกับพี่ +Moon Buu (@buumoon) ถ้าพี่ไม่ชวนผมเป็น Writer ใน Faceblog ก็ไม่มี Session สนุกๆ แบบนี้แน่นอน
ปล.๔ ขอบคุณทุกคนที่เข้าร่วม Session ผมอีกครั้งนะครับ ขอบคุ๊ณณ ขอบคุณ จุ๊บๆ -3-)/
ปล.๕ หลอกให้อ่าน ไม่มีอะไรหลอก ฮ่าๆๆๆ

สัปดาห์ที่ 5


  • Mock up ของงานก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น แทบจะเรียกว่าใส่โค้ดเข้าไปก็ใช้งานได้เลย แต่เราต้องค่อยๆ ทำไปทีละขั้นตอน เดี๋ยวจะงงเอา
  • เมื่อวันศุกร์ได้มีโอกาสเป็น TA ในการสอนครูอาจารย์ใช้สื่อการสอน LearnSqaure ในการช่วยสอน ก็ได้เจออาจารย์วัยสะรุ่นเยอะแยะเหมือนกัน แล้วได้เอาเทคนิคที่เคยใช้สอนตอนอยู่มหา'ลัยมาใช้ ก็ไม่เกร็งหรือตื่นเต้นอะไร อีกอย่างอาจารย์ส่วนใหญ่เป็นคนที่ใช้เทคโนโลยีเป็นอยู่แล้ว ทำให้เข้าถึงเนื้อหาได้เร็วมาก
  • นอกเรื่องนิดนึง พอเลิกจากสอนก็ไปเล่นเกมที่ฟิวเจอร์มา ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าที่นั่นมีตู้เกมด้วย *[]*)b พอรู้ว่ามีตู้ PIU ก็เลยแว๊บไปเล่นเลย ปรากฎว่าเอารองเท้าวิ่งไปเล่น ลื่นปรื๊ดเลย T T (จำไว้ว่าถ้าพื้นหน้าสัมผัสรองเท้าไม่เรียบหรือไม่แน่นพอ เล่นทีหัวแตกแน่ๆ) ก็ได้เจอเจ้าถิ่นที่เล่นที่นั่นละ เป็นพวกน้องๆ มัธยมนะตอนที่เจอ ยังไม่ได้เข้าไปตีสนิทอะไรมาก แต่ถ้าไปเจอกันบ่อยๆ ก็คงจะได้พูดคุยกันมากกว่านี้แน่ๆ
Hot Topic ในวันนี้คงจะเลี่ยงไม่ได้กับเรื่องของหญิงสาวท่านหนึ่งที่ได้โพสข้อความบนหน้า Facebook ของเธอด้วยถ้อยคำที่รุนแรงต่อผู้ที่มาติดต่อราชการในเวลาเที่ยง (ซึ่งจากข้อความจับใจความน่าจะเป็นคนพิการที่เข้ามาขอใช้บริการ) แล้วมีเพื่อนใน Facebook ของสาวผู้นั้น ได้พบเห็นข้อความจึง Capture แล้วก็โพสลง Pantip ซะเลย



ซึ่งตอนนี้ก็มีคนตีความไปสองกลุ่มว่า เหตุที่เธอใช้ข้อความที่หยาบคายได้ขนาดนี้เพราะ

  1. เธอโมโหหิว (มีคนบอก Viral ของ สนิกเกอร์ อีกแก๊) 
  2. เธอมาตามคุณสามีของเธอไปตามข้าวเที่ยง
(Update: ล่าสุดหลายๆ คห.บอกว่าสาวเจ้ามาตามคุณสามีไปทานข้าวแล้วมีคนพิการมาขอใช้บริการทั้งๆ ที่เวลาเที่ยงแล้ว นางก็เหวี่ยงซิ : สนิกเกอร์มั้ยเจ๊)

และแน่นอนว่า เมื่อเข้าสู่สังคมของ Pantip ปั๊บ ก็เกิดการวิจารณ์เธออย่างหนักมาก (นี่ถ้าเธอเป็นดาราอาจจะถึงออกจากวงการดาราเลยทีเดียว) ทำให้คุณเธอต้องออกมาขอโทษขอโพยพร้อมบอกว่า "ถ้าเรื่องนี้เธอไม่โดน เธอไม่รู้หรอก (กระซิกๆ)" ปรากฎว่าพอเรื่องนี้เริ่มหนักเข้า เธอทนไม่ไหว จึงนำข้อความที่มีทั้ง Pantip และ Facebook ไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจ ในข้อหา หมิ่นประมาท แล้วก็อธิบาย ก็เราโพสหน้า Wall เราเอง ตั้งค่าความส่วนตัวเป็นเฉพาะเพื่อนด้วย ทำไม่ได้ถูกนะ เราโพสในเฟสเราก็ต้องส่วนตัวเราสิ พร้อมทั้งนำพรบ.คอมพิวเตอร์ มาตราที่ 5, 6 และ 11 มาโพสลงหน้า Facebook ตัวเองอีกด้วย เรื่องราวก็จบเพียงเท่านี้ (แต่เรื่องการโดนจิจารณ์ในโลก Social Network ก็ยังคงทำงานของมันต่อไป)


เอาละ มาสู่ช่วงนี้สาระกันบ้าง เราจะดูเหตุการณ์นี้ออกเป็น 2 ข้อด้วยกัน นะครับ

1. Facebook เป็นพื้นที่ส่วนตัว จริงหรือไม่ ?


จริงครับ แต่คุณต้องตั้งโพสของคุณเป็น Only Me เท่านั้นนะครับ ถ้าไม่เป็น Only Me ข้อความก็จะเป็นสาธารณะทันที ทั้งนี้จะมากล่าวอ้างว่า ก็ตั้งให้เห็นเฉพาะเพื่อนอะ มันก็ต้องส่วนตัวสิ ความเห็นนี้ท่าจะผิดครับ แค่คุณรับเพื่อนเข้าใน Facebook ของคุณ มันก็ไม่เป็นส่วนตัวละครับ เพื่อนสามารถเห็นกิจกรรมบน Facebook ได้หมดเลย ไม่ว่าจะกด Like กด Share หรือทำอะไรก็ตามที่คุณไม่ได้ตั้งความเป็นส่วนตัวไว้ว่า Only Me หรือดูง่ายๆ ถ้าโพสนั้นมีปุ่ม Share เมื่อไหร่ แค่นั้นก็ไม่เป็นส่วนตัวแล้ว ฉะนั้น จะมาบอกว่าตั้งความเป็นส่วนตัวว่าให้เพื่อนเห็น Status ของฉันเท่านั้น มันก็ต้องส่วนตัวสิ ลองนึกง่ายๆ ว่าคุณเขียนบันทึกเรื่องราวของคุณไว้ในสมุดทำความดี ละมีเพื่อนในห้องคนนึงที่คุณก็ไม่ได้สนิทกับเค้าผ่านมาเห็นสมุดเล่มนั้นที่เปิดหน้าบันทึกความดีไว้อ้าซ่า เพื่อนคุณก็ยืนอ่านอยู่ แล้วเกิดอารมณ์หมั่นไส้ว่า "หึ! แกมันคนดีจริงๆ" ว่าแล้วเพื่อนก็ถ่ายรูปบันทึกหน้านั้น แล้วก็เอาไปให้เพื่อนคนอื่นดูพร้อมปริ้นแปะไว้ที่บอร์ดหน้าห้อง พอคุณมาเห็นก็โวยวายว่า "อร๊ายยย นั่นมันบันทึกของชั้นนะ ทำไมพวกเธอทำแบบนี้ ไม่รู้เรื่องจริงๆ ก็อย่ามาทำแบบนี้นะ อร๊ายๆ ชั้นจะฟ้องคุณครู" ว่าแล้วก็วิ่งแจ้นไปฟ้องคุณครูแล้วก็ครูก็ได้แค่พยึกหน้า



หลายๆ คนอาจจะเคยลองเล่นการตั้งความเป็นส่วนตัวในหลายๆ ส่วนแล้ว แต่ถ้าใครยังไม่เคย ลองจิ้มลิ้งค์นี้ดู แล้วก็ลองปรับๆ แต่งๆ เล่นเลยครับ ซึ่งถ้าเราล้อตาม Legel ของ Facebook มีอยู่หลายจุดที่ Facebook ก็บอกว่า You own all of the content and information you post on Facebook, and you can control how it is shared through your privacy and application settings. (ยูจะเป็นเจ้าของๆ เนื้อหาและข้อมูลใน Facebook ของยูหมดเลยนะ แล้วยูก็ยังสามารถปรับแต่งความเป็นส่วนตัวได้ด้วย) หรือ 4. When you publish content or information using the Public setting, it means that you are allowing everyone, including people off of Facebook, to access and use that information, and to associate it with you (i.e., your name and profile picture). (เมื่อไหร่ที่ข้อมูลของยูตั้งค่าเป็น Public มันก็หมายความว่าใครเห็นก็ได้นะยูนะ) อยากอ่าน Legel เพิ่มเติมก็จิ้มได้ที่นี่เลย

ฉะนั้น จึงขอสรุปสั้นๆ ว่า Facebook เป็นพื้นที่สาธารณะเชิงตั้งค่านนะจ๊ะ
ขออนุญาต Edit ส่วนนี้นะครับ เนื่องจากคำว่า พื้นที่สาธารณะเชิงตั้งค่า ที่ผมพูดออกมา ทำให้มันดูไม่เคลียและไม่สามารถหาความหมายของมันได้ จึงต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ที่ทำให้หลายๆ คนอาจจะสับสนได้นะครับ ขอบคุณครับ

2. พรบ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 5,6 และ 11 จะเอาผิดอะไรได้หรือไม่


สาวเจ้าได้แปะมาตรา 3 ข้อที่กล่าวถึงใน Facebook ตัวเอง ดังนี้ฮับ


โอเค มาตีกันทีละข้อในแบบชาวบ้านๆ ดีกว่าเนอะ

  • มาตราที่ 5 : ใครแฮคข้อมูลข้า เจ้าผิด .. แต่คนที่มาอ่านข้อความของสาวเจ้าเค้าอ่านบน Facebook Account เค้าเอง ฉะนั้น ไม่มีใครแฮค Facebook เจ๊เลยครับ
  • มาตราที่ 6 : ใครรู้ Password ข้า เจ้าผิด .. แต่ผมก็ไม่เห็นว่าการรู้ Password ของเจ๊จะสำคัญขนาดนั้นเลย เพราะคนที่เอารูปมาแชร์เค้าก็ไม่ได้เข้า Facebook เจ๊ไปสูบรูปมาซะหน่อย
  • มาตราที่ 15 : ใครเอารูปข้ามาตัดต่อ เจ้าผิด .. Status ของเจ๊เค้าแคปหน้าจอแล้วก็แปะมาโพสเลยครับ แถมไอ้รูปเจ๊ที่เค้าสูบๆ กันมาแปะโชว์ใน Pantip ก็ไม่ได้มีการดัดแปลงอะไรนิ มีแต่เจ๊ที่ใช้ Camera360 แต่งรูปเจ๊เอง (อาจจะเกิดคำถามอีกนิดว่า เซนเซอร์ข้อมูลหรือคาดตาดำที่ภาพนี่เข้าข่ายมั้ย คิดว่าไม่นะครับ เพราะเป็นการปกปิดข้อมูลประเภทหนึ่ง เหมือนที่คนกระทำผิดแล้วไม่อยากให้สังคมรู้ว่าเป็นใครก็คาดตาดำมันซะเลย)
ก็เป็นอันว่า ถ้าสาวเจ้าจะเอาข้อกฎหมาย 3 ข้อนี้ไปแจ้งความว่า "คุณตำรวจเจ้าขา อิชั้นโดนคนกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ตค่ะ ช่วยอิชั้นด้วยนะเจ้าคะ" ก็แลดูจะไม่มีน้ำหนักในคดีนี้นะครับ ซ้ำร้ายถ้าคุณเอาโพสของคุณไปประกอบหลักฐานในคดี คุณเองซิจะไม่โดนจับ แต่จะโดนประณามจากสังคมมากกว่า

ก่อนจากกัน ผมเห็นคห.หนึ่งใน Pantip แล้วชอบเหมือนกัน ขออนุญาตยกข้อความนั้นมาเลยนะครับ

พึงระลึกไว้ว่า โซเชียลมีเดียไม่ใช่พื้นที่ส่วนบุคคล แต่มันเป็นพื้นที่สาธารณะ
ความเป็นส่วนบุคคลของคุณมีแค่ ยูสเซอรืและรหัสผ่าน
และการควบคุมเนื้อหาเท่านั้น หลังจากที่คุณโพส
สิ่งเหล่านั้นมันจะกลายเป็นข้อมูลสาธารณะทั้นที
รู้จักไหมครับ โซเชียล สะกด S-O-C-I-A-L แปลว่า สังคม ไม่ใช่ ส่วนตัว
(nuiwr,2556)

สรุปสั้นๆ ละกัน ... ตามข้างบนเลย (ฮา)

ใครยังไม่อิ่มมาม่า ก็แวะไปเสพย์เรื่องนี้ได้ที่กระทู้นี้เลยนะจ๊ะ

เจอในfbแชร์กันมา ผญ คนนี้สมควรพูดแบบนี้เหรอ

ปล. ผมว่าเจ๊ควรออกมาพูดความจริงซักทีนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่บอกว่า มาด่าเราโดยไม่รู้เรื่องจริงอะไรเลย ก็บอกซักทีสิเจ๊ เค้าจะได้เข้าใจเจ๊กันถูก ไม่ใช่ปิดเฟสไปหนีมาแบบเน้~
ผมรู้นะว่าหลายๆ คนไปซื้อของที่ 7-11 พอได้ใบเสร็จก็ขยำๆ แล้วก็โยนทิ้งปิ๊ว~ แต่หารู้ไม่ว่าใบเสร็จเหล่านั้นมีประโยชน์ในการเป็นส่วนลดของสินค้าใน 7-11 ได้ด้วยนะเฮ้ยย นี่รู้กันมั้ยเนี่ยยยย


เพียงหยิบมือถือ iOS หรือ Android ขึ้นมาครับ แล้วเข้าไปโหลดแอพที่ชื่อ 7-Eleven TH ซะ (iOS จิ้มที่นี่, Android จิ้มที่นี่) พอโหลดเสร็จแล้วก็เข้าแอพไปเลยครับ จากนั้นให้ทำการ Login ด้วย Facebook ก่อน เพราะมันจำเป็นอยู่นะ เอาละมาเข้าเรื่องว่าใบเสร็จเราจะมีค่าได้ยังไง


เจ้าใบเสร็จที่ได้เราจะเอามาแลกเป็นคูปองส่วนลดสินค้าในเซเว่น โดยสินค้าที่เป็นส่วนลดจะไม่ซ้ำกับพวกโปรโมชั่นที่เค้าจัดไว้แน่นอน แถมได้สแตมป์อีกตะหาก คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้มอีกแกเอ๊ย มาๆ ดูวิธีการได้คูปองส่วนลดกันดีกว่า



พอเรา Login ด้วย Facebook แล้ว ให้ทำการเข้าแอพโดยกดปุ่ม Play แล้วเลือก รับคูปองจากใบเสร็จ (ไอ้วิธีการรับคูปองผ่านโฆษณานี่ทำยังไงก็ไม่ได้ งงเหมือนกัน -"-) จากนั้นก็เอาใบเสร็จที่เราได้จากการซื้อของกรอกตามรายละเอียดที่เค้าบอกไว้เลย เสร็จแล้วกด OK จากนั้น ก็จะพบกับ...



ทะด๊า~ ได้คูปองมาไว้ในเครื่องเราเรียบร้อยแล้ว ก็อ่านโปรโมชั่้นพร้อมวิธีการใช้ รวมถึงวันหมดอายุดีๆ นะครับ เดี๋ยวจะอดใช้คูปองกันซะก่อน วิธีใช้ก็เปิดหน้าคูปองไว้ครับ (ที่มันมีแถบบาร์โค้ดอะนะ) แล้วก็บอกพนักงานอย่างเรียบร้อยและใจเย็นว่า "ขุ่นพี่ครับ นี่คูปองลดราคาครับ รบกวนลดดราคาให้ผมด้วยนะ" พร้อมส่งตาปิ๊งๆ ไม่ใช่โว๊ย!! ของผมก็แค่วางมือถือโชว์ตรงเคาท์เตอร์เลยว่าข้าจะใช้การ์ดใบนี้โจมตีเจ้า! (ฮาไปละมึง) เดี๋ยวพนักงานก็จะยิงบาร์โค้ดแล้วก็จะลดราคาให้เราเอง



ที่สำมะคัญเจ้าแอพนี้สามารถส่งคูปองไปให้เพื่อนที่ใช้แอพเหมือนกันได้ด้วยนะ ซึ่งเพื่อนเหล่านั้นก็จะเพื่อนของเราใน Facebook ที่ Login ผ่าน Facebook เหมือนกันนั่นเอง


แต่ก่อนยอมรับว่าซื้อของแล้วไม่ทอนเงินก็เดินเชิดหน้าออกจากร้านไปเลย อาทิตย์ที่ผ่านมานี่ต่อให้คิวยาวแค่ไหน แล้วจ่ายเงินพอดีก็ต้องเอาใบเสร็จจากพนักงานให้ได้ ซึ่งหลายเช้าแล้วที่ผมกินเบอร์เกอร์ข้าวเหนียวด้วยราคา 21 บาท พอได้ใบเสร็จก็เวียนมาแลกคูปองอีก สบ๊าย สบาย แถมได้สแตมป์อีกตะหาก เอาไปลดสินค้ารอบหน้าได้อีก โฮฮฮฮ ทุนนิยมนี่มันสบายเกินไปแล้ววววววว

ปล.๑ นี่ไม่ได้ค่านายหน้านะ แต่อยากให้รู้ว่ามันคุ้มจริงๆ นะเว้ยยย
ปล.๒ 7 วันเย็นเย็นนี่ตัวดีเลย พนักงานขายนี่ไม่รู้โดนเสี่ยตันจ้างทั้งประเทศหรือเปล่า เชียร์ให้ซื้ออยู่ได้ นี่ก็บ้าจี้กินซะเกือบทุกวัน /เบาหวานขึ้นแปบ
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่นั่งทำงานไปแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรแก้เซ็งเวลาคิดงานไม่ออก แล้วก็ไปสะดุดกับคำว่า กดคุ้กกี้ ใน Twitter ที่จริงก็ไม่รู้นะว่าเค้าเล่นกันมานานหรือยัง ก็เลยใช้ Keyword ว่า click cookie game ดู เจอเว็บแรกเข้าไปเลย นั่งเล่นตั้งน๊าน +Mathavit Matharat หรือ @tannce ทักมาว่า

แล้วก็เลยเจอกับเว็บที่เค้าเล่นกันจริงๆ จนได้ นั่นคือ http://orteil.dashnet.org/cookieclicker/ หรือเรียกเจ้าเกมนี้ว่า Cookie Clicker นั่นเอง


เกมนี้ไม่มีอะไรมากเลยจริงๆ ครับ คลิ๊กที่คุ๊กกี้ให้ได้มากๆ แล้วก็เก็บไปเรื่อยๆ แล้วก็ซื้อของด้านข้างรวมถึงอัพเกรดของให้สามารถคลิ๊กได้แต่ละครั้งได้คุ๊กกี้มากขึ้น รวมถึงมันจะผลิตออกมาให้อัตโนมัติด้วย ซึ่งไอเทมแต่ละอย่างก็จะให้จำนวนคลิ๊กที่ต่างกันออกไป แล้วยิ่งเราซื้อของชิ้นนั้นเยอะเท่าไหร่ ราคาของชิ้นนั้นก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการอัพเกรดของที่ยิ่งอัพดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราคลิ๊กเองก็จะได้ % ในการตกของคุ๊กกี้สูงตามไปด้วย แต่การอัพเกรดแต่ละครั้งก็ต้องอาศัยการปลดล็อก Achievement ด้วยนะ

ที่สำคัญ สามารถกด Save เกมแล้ว Export มันออกมาเป็น Code แล้วเวลาเราย้ายไปเล่นเครื่องอื่นก็สามารถเอา Code ที่ได้ Import เข้าไปก็เพลินกับการคลิ๊กคุ๊กกี้ต่อได้เช่นกัน

เล่นมาครึ่งวันแล้วก็ไม่เห็นว่าเกมมันจะจบยังไงเลย แล้วก็ยังหาคำตอบไม่ได้ด้วยว่า ทำไมข้าต้องมานั่งกดคุ๊กกี้ด้วยเนี่ยยยยยยยย Orz (ต้องเล่นไปเรื่อยๆ แหละมั้ง ถึงจะมีอะไรแปลกๆ โผล่ออกมา กดกันต่อไป -*-)

สัปดาห์ที่ 4

  • อาทิตย์นี้ก็แลดูวุ่นวายมาก เปิดเช้าวันจันทร์ก็ได้รับโปรเจคอีกตัวนึง แต่ว่าอันนี้เค้าทำระยะยาว อาจจะพอช่วยได้บ้างแหละ ถ้างานตัวเองเสร็จอะนะ แถมมีประชุมตั้ง 3 วัน แทบง่อก
  • เรื่องโปรเจคที่ต้องทำ กลายเป็นว่ากลับไปเขียน PHP ซะดีกว่า เอา Wordpress มาทำงานแบบฮาร์ดคอร์นี่ไม่ไหว จะตายเอามาก นั่งงงกับการ Query ฐานข้อมูลแบบสุดๆ อะไรก็ไม่รู้
  • เมื่อเย็นวันพฤหัสก็เกือบจะซวย ไปเดินตลาดนัดแล้วด้วยความหิวระดับขั้น 10 เห็นไข่ปลาหมึกทอดก็สอยมาเลย เห็นก๋วยเตี๋ยวหลอดด้วย โอ้ว อยากๆ ซื้ออีก แล้วปกติเป็นคนกินแอปเปิ้ลอยู่ละ (ขั้นเข้าติ่งเลยหละ) เลยซื้อมาอีก ระหว่างที่เดินกลับหอก็กินไข่ปลาหมึกจนหมด ก็ไม่เห็นจะมีอะไร พอถึงห้องก็กินก๋วยเตี๋ยวหลอดต่อแล้วตามด้วยแอปเปิ้ล แต่ด้วยบุญกรรมใดไม่ทราบ อยู่ๆ ก็ปวดแสบที่ท้องอย่างแรง ตอนแรกก็คิดว่ากรดไหลย้อนหรือเปล่าวะ คือน้ำจิ้มมันก็เผ็ดๆ อยู่ละ แถมกินเสร็จนอนเลย ก็เลยยังคิดว่าเป็นอยู่ ปรากฎว่าอยู่ๆ เหมือนจะเป็นไข้ แถมปวดเมื่อยตัวไปหมด เลยนอนงีบไปแปบนึง ตื่นมาจะไปเอาผ้าที่ซักไว้ เดินไปยังไม่ทันเปิดประตูเลย มีอาการจะอ้วกละ ก็เลยกลั้นไว้ก่อน แต่..พอเดินไปข้างหอเท่านั้นแหละ โอกกกกกกกกกกก จัดเต็มมาก ก๋วยเตี๋ยวหลอดที่กินไว้ออกมาเห็นเป็นรูปเป็นร่างเหมือนเดิม คือมันไม่ย่อยเลย นั่นแหละ...อาหารเป็นพิษเลยจ้า คิดว่าทีเ่ป็นเพราะฝนมันก็เพิ่งหยุดตกใหม่ๆ ละอีแม่ค้ามันคงไม่ดูวัตถุดิบนั่นแหละ ตอนนี้เลยขอลาขาดกับมันไปอีกนาน คือเกลียดกลิ่นมันไปเลยอะ
  • เสาร์ที่ผ่านมาก็มีงาน GDG DevFest Bangkok 2013 และ GDayX Thailand เดี๋ยวจะสารยายกันในเอนทรี่ต่อไป รออ่านละกันเนอะ
  • แต่ยอมรับนะว่าอาทิตย์นี้อู้งานเยอะเหมือนกัน คือพอตกช่วงบ่ายละเริ่มอึนๆ ละ พอจะทำงานก็จะหลับ ปกติจะกินกาแฟบ่ายๆ ไง แต่นี่กินเช้าเกือบทุกวัน แล้วฤทธิ์ดันออกแค่แป๊บๆ เฮ้อ = =
  • แล้วอาทิตย์ที่ผ่านมามันมีกระแส รัฐมธ. กัน ใน Social Network อาจจะดูเป็นเรื่องตลกร้ายนะ แต่พอใช้ชีวิตอยู่ในนี้เค้าก็ใช้ชีวิตกันเป็นปกติมาก นักศึกษาที่นี่ก็ยังใส่ชุดนักศึกษามาเรียนกันปกติ ไม่เห็นจะมีใครใส่ชุดบิกินี่มาซักคน (ว้า)
ปล. มาเขียนอะไรดึกดื่นตอนนี้ เช้าก็ต้องไปทำงานอีกนะเนี่ย - -*

สัปดาห์ที่ 3

  • สัปดาห์นี้ก็ผ่านไปเหมือนๆ แต่ละวันนั่นแหละครับ ที่เข้างานเช้า กินข้าวเช้า เที่ยงก็พัก เย็นก็กลับมาพัก แต่สัปดาห์นี้ไม่ได้ออกวิ่งเหมือนสัปดาห์ที่แล้ว ไม่ได้เพราะอู้หรอก แต่ว่าเย็นทีไร ฝนตกบ้างแหละ ติดงานบ้างแหละ เลยไม่ได้วิ่งเลย -*-
  • ได้ข่าวกรายๆ จากพี่โปรแกรมมิ่งในแลปว่าแกจะพักงาน ก็แอบใจหายเหมือนกัน ก็เหลือกันอยู่ในแลปแค่ไม่กี่คน เอาเถอะ เรื่องแบบนี้มันเป็นการตัดสินใจของเขาเองนั่นแหละนะ
  • ได้ลองนวดกับป้าๆ ที่อินเตอร์โซน ขนาดนวดตัวแค่ชั่วโมงเดียวโคตรสบายตัวเลย เดี๋ยวกะว่าจะไปนวดใหม่สิ้นเดือนซัก 2 ชั่วโมง เอาให้หายปวดเอวเลย แล้วถูกด้วยนะ ชั่วโมงละ 150 บาทเอง ป้าๆ ก็เป็นกันเองมาก ซึ่งระหว่างนวดก็กะจะงีบซักหน่อย ป้าก็ชวนคุยตลอด แถมได้ฟังเรื่องชีวิตของป้าๆ แล้วเค้าก็สู้ชีวิตเหมือนกันนะ อ้อ อีกเรื่องคือ ป้าที่นวดเราเห็นผมเราปั๊บ ชมไม่หยุดปากเลยว่าผมหยิกสวยดีจัง หล่อนะเนี่ย ไอ้ครั้นจะเขินก็อยากเขิน แต่เรามันสเปคคนแก่ตลอด T-T มีแต่คนอายุ 40-50 > นั่นแหละที่ชมเรา เวลาไปเจอคนรู้จักกับพ่อแม่นี่โดนประจำ 'หล่อนะเนี่ย' ยังงี้แหละนะ แงงงง
  • วันศุกร์เพิ่งมารู้ว่าเจ๊นานามิจะไปเที่ยวที่นครนายก เราก็ได้แต่เอ๋อเลย ไม่เคยไปซะด้วยสิ มันก็มีแต่รีสอร์ทที่เที่ยว เค้าก็ถามเราเหมือนกันว่ามีอะไรเที่ยวบ้าง นึกไม่ออกเล้ย -*- แต่จะบอกว่าเจ๊นานามินี่เก่งกว่าวัยรุ่นไทยหลายๆ คนอีกนะ อาทิตย์ก่อนแกไปฟิวเจอร์ก็แท็กซี่เลยจ้า พออาทิตย์ที่จะไปนครนายกก็ไปกับเพื่อนพี่เค้าอีกคนนึง คือไปกัน 2 คนแบบไม่กลัวหลงเลย ลองเป็นคนไทยสิ เหอะๆๆ
  • อาทิตย์นี้ได้กลับบ้านซักที เป็นการกลับบ้านจากกรุงเทพเป็นครั้งแรก โหย จองรถตู้ไว้ตั้งแต่ 5 โมงเย็น รถมาจริงๆ 6 โมงครึ่ง แม่เจ้า คือพี่แกไปรับคนจากหลักสี่ก่อน รถมันก็ติดสิเพ่! คราวหน้าจะจอดซัก 4 โมงเลย หึ -"-
  • เร็วมากเลยนะเนี่ย แปบๆ ก็ผ่านไป 3 อาทิตย์แล้ว ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะไวอะไรขนาดนี้ โปรเจคเรายังไม่คืบหน้าเลย ยังตบตีกับ keyword งานอยู่เลย เฮ้อ สู้ต่อไปเด็กฝึกงาน ;__;)/
ปล. อาทิตย์นี้ไปเจอกันที่งาน GDG DevFest Bangkok ได้นะครับ ใครสนใจหรือยังไม่ได้ลงทะเบียนก็แวะไปได้ที่เว็บไซต์ www.gdg.in.th หรืออยากรู้ว่างานเป็นยังไง แวะไปอ่านบทความเก่าของผมได้ที่นี่เลย ตะลุยงาน GDG DevFestBKK 2012 :)

สัปดาห์ที่ 2

ในสัปดาห์ที่ 2 ไม่มีอะไรมากมายขนาดที่ต้องเอามาเล่าหรอกครับ ตอนนี้ก็เริ่มชินกับการใช้ชีวิตแบบคนทำงานมากขึ้นละ เวลาตื่นก็เริ่มมีอาการขี้เกียจเหมือนเดิม (ฮา) แต่ก็ตื่นมาอาบน้ำตามปกตินะครับ แล้วสิ่งที่เหมือนเดิมก็คือ การไปยืนเคารพธงชาติหน้าสวทช.ทุกๆ เช้า วันไหนไม่ได้เคารพธงชาติตรงนั้น ก็จะเป็นโรงอาหารสวทช. ซึ่งที่นี่จะแปลกอยู่อย่างนึงครับ ตอนแรกก็ไม่ได้สังเกตแล้วรุ่นพี่ในแลปบอกให้ลองสังเกตดูว่า คนที่นั่งกินข้าวอยู่เวลาเพลงชาติมาเค้าจะไม่ลุกขึ้นยืนเคารพธงชาติ แต่เค้าจะหยุดกินข้าวแล้วก็หยุดคุยด้วย วันพฤหัสไปลองสังเกตดู เออ จริงด้วยวุ้ย

แล้วทุก ๆวันพฤหัสก็จะกลายเป็นวันที่ผมต้องเข้าประชุมกับ Lab ย่อยรวมถึงนำเสนอความคืบหน้าของงานให้พี่ๆ ใน Lab ได้รับทราบว่าโปรเจคเป็นไปถึงไหน ติดปัญหาอะไรหรือเปล่า ส่วนทุกๆ วัน หน้าที่ตอนเช้าก็เอาของมาเก็บแล้วก็ไปกินข้าว เช้าขึ้นมาก็มานั่งอ่าน Feed ให้หมดแล้วก็เริ่มทำงานจริงๆ ซัก 10 โมง ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่เชิงว่าทำงานหรอกครับ นั่งทำโปรเจคนี่แหละให้คืบหน้าตามเวลาที่ตั้งไว้ก็พอ

อีกเล่าที่อยากเล่าให้ฟังคือ ผมบอกพี่นานามิ (เด็กฝึกงานจากญี่ปุ่นในสัปดาห์ที่ 1) ว่า ส้มตำ มันเป็นอาหารยอดฮิตของไทยเลยนะ เค้าก็บอกว่าเค้าไม่เคยกิน (แหงสิ) วันต่อมาเลยลองให้เค้าได้กินตำไทยแบบไม่ใส่พริกซักกะเม็ดเลย ปรากฏว่าครกก่อนๆ เค้าดันตำใส่พริกซะเยอะแล้วไม่ได้ล้างครก มันก็เลยมีติดออกมานิดๆ แต่ถ้าเรากินเนี่ย เราไม่เผ็ดเลยนะ หวานมาก แต่เค้าบอกว่าเผ็ด แสดงว่าเค้าไม่เคยกินเผ็ดเลย -_-" ส่วนรสชาติเค้าบอกว่าอร่อยดี แล้วทีนี้พี่แชมป์ (@sitdh) ก็เล่าให้พี่นานามิฟังว่ามันเป็นยังไง ทำยังไง ก็ว่าไป พอบอกว่ามีมะละกอ เค้าก็ถามว่า มะละกออยู่ไหน พอชี้ดูว่าไอ้เส้นๆ เนี่ย เค้าดูสะพรึงเลย 5555

อ้อ ลืมไปอีกเรื่องนึง เพื่อนฝึกงานจากอีกแลปนึงจากม.เกษตรศาสตร์ที่มานั่งโต๊ะเรียนกับเรา เค้ามาก่อนเราแล้วก็จบการฝึกสหกิจฯ อาทิตย์นี้เหมือนกัน ก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว โชคดีนะฮะเพื่อน 2 อาทิตย์ ' ')/