บล็อกจับฉ่ายนายวีวี่คลุงซ์

"Because the story on your life never end."
Follow Me
ชีวิตนี้ก็ผ่านการดูคอนเสิร์ตมากเยอะพอสมควร ตั้งแต่คอนเสิร์ตสังกะสี (ต่างจังหวัดอะ ตั๋ว 50 บาทละมีสังกะสีล้อม) จนไปมาดูคอนเสิร์ตที่กทม. คือเข้าใจว่าวิวัฒนการและสังคมมันเปลี่ยนไป คนเรามีมือถือกันทุกคน มีกล้องหน้าอีก ไม่มีหรอ iPad พวกคุณไง เออนั่นแหละๆ เอะอะก็ควักมาแชะ มาโชว์กันละ แล้วก็อัพลง Social Network กันสนุกสนาน

ภาพจาก : Popcornfor2
ทีนี้ขอให้คุณๆ มองไปที่การชมภาพยนตร์ก่อน ก่อนเข้าโรงหนัง สิ่งที่ต้องทำคือการปิดเสียงหรือปิดเครื่องเพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่นในการรับชม รวมถึงโรงหนังเค้าก็จะไม่มีเรื่องแอบถ่ายละไปเป็นหนังซูมๆ ในพวกเว็บบิทอีก ซึ่งธรรมเนียมเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่ทุกคนรับทราบร่วมกัน ถูกนะ

มามองในคอนเสิร์ต ทำความเข้าใจก่อนว่าภาพยนตร์เนี่ย ฉายกี่รอบ กี่ครั้ง นานแค่ไหนก็ได้ ใครๆ ก็เข้าถึง แต่คอนเสิร์ตเนี่ย มันเกิดมาเพื่อความ Exclusive อะ เล่นก็ค่ำๆ วันละรอบ สองถึงสามวัน บางคอนก็วันเดียว บัตรก็แพงอยู่ละจะดูแต่ละที สถานที่จัดงานก็โอ๊ยเหนาะ ศิลปินก็ทุ่มเทเหนื่อยกันสุดฤทธิ์เพื่อให้โชว์ออกมาดี มันเลยทำให้คอนเสิร์ตดูมีคุณค่าในสายตาของศิลปินเพราะอย่างน้อยเค้าจะเห็นว่าแฟนคลับหรือคนดูรักเค้ามากขนาดไหน และมีคุณค่าในสายตาคนดูอย่างเราๆ เพราะชั้นอยากไปกรี๊ดศิลปิน อยากไปร้องเพลง ไปเต้นตามเค้าได้อะไรแบบเนี๊ยะ

ภาพจาก : cherylkicksass
ปัญหากวนใจอย่างหนึ่งของผมคือ พวกที่ชอบยกมือถือมาอัดคลิปหรือถ่ายภาพระหว่างที่คอนเสิร์ตเล่น โอเค เข้าใจว่าอยากถ่ายไปอวดเพื่อน หรือเอาไปเผื่อแผ่บุญให้กับคนอื่นว่าเฮ้ย มันมีแบบนี้ๆๆๆ นะแก เฮ้ยหนุกมาเลยแกร บลาๆๆๆ แต่.. พวกท่านเองกำลังทำให้มันรบกวนสายตาผมสุดๆ

คุณอาจจะเถียงว่า อ้าวเฮ้ย แล้วอีพวกแท่งไฟ ป้ายไฟแกไม่ด่ามันบ้างหละ อ้าวคุณ เค้าก็ทำมาเพื่อแบบให้แฟนคลับเห็น โบกไม้โบกมือกันให้คอนเสิร์ตมันมีสีสัน แต่มือถือคุณเนี่ย... ถ้าไม่ได้เปิดโหมดไฟฉายหรือเปิดแอพป้ายไฟเนี่ย เอาลงเห๊อะ เหตุการณ์สมมติคือ ผมนั่งดูอยู่ ตอนนั้นศิลปินกำลังแผดเสียงสุดฤทธิ์เดินมากลางเวที ทันใดนั้น แถวหน้าก็ยกมือถือมาอัดคลิป แล้วก็บังฉัน... อารมณ์นั้นอยากจะวิ่งเข้าไปจับมือถือเป็นแนวนอนแล้วบอกว่า "อัดคลิปแนวนอนได้มุมดีกว่านะครับ" จะบ้าเร๊อะ!

ภาพจาก : Postjung
ผมเข้าใจครับว่าอยากเอาไปอวดให้ใครๆ ดู แต่คุณก็ช่วยให้เกียรติคนอื่นหน่อย ผมไม่ได้ว่าว่าไม่ได้ถ่าย แต่ก่อนการแสดงเล่นอะครับ ได้ยินมั้ยว่าเค้าบอกว่าห้ามถ่าย ห้ามอัดวิดีโอ แต่ก็ทำ คือ...? ไอ้เรื่องแบบนี้หนะครับ มันเกิดจากอุปทานหมู่ คือพอคนหนึ่งทำ คนสอง คนสามก็เริ่มทำไปเรื่อยๆ หละ แบบ ไอ้คนหน้าทำได้ ชั้นก็ต้องทำได้ เหตุการณ์สมมติ 2 : รุ่นน้องผมชอบโชว์มา ควักไอโฟนมาอัดคลิปกะเอาไปแชร์ ซักพักทีมงานเดินมาสะกิดแล้วเรียกตัวไปข้างนอกเพื่อลบคลิป เหตุการณ์นี้หลายๆ คนก็าอจจะมีคำถามว่า อ้าว ให้ลบทำไม ตักเตือนเฉยๆ ก็พอแล้วมั้ง คำตอบคือในบางโชว์หรือบางคอนเสิร์ต ทีมงานที่จัดเค้าจะมีการซื้อเพลงต่างค่ายมาให้ศิลปินร้อง เค้าต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ในการขอนำมาร้อง รวมถึงเรื่องต่างๆ อีกมากมาย ฉะนั้น ไอ้การที่คุณซื้อบัตรถูกๆ แล้วก็มานั่งลอยชายอัดคลิปผ่านจอโปรเจกเตอร์แล้วก็อัดลง Youtube เนี่ย เจ้าของคอนเสิร์ตโดนค่าลิขสิทธิ์อ่วมเลยนะจ๊ะ จริงๆ เจ้าของค่ายเพลงก็มีสิทธิ์ฟ้องร้องคุณได้เหมือนกัน อีกอย่างคือ มันกลายเป็นเรื่องฟรีๆ ไปเลย คือศิลปินก็กะจะให้คนที่อยู่ตรงหน้าดู ไหง๋ไอ้คนไม่จ่ายตังดันได้ดูหละ ถึงบรรยากาศมันไม่ได้แต่เค้าก็ดันได้ฟังเพลงที่ชั้นเรียบเรียงใหม่ คือมันไม่ใช่อะกิ๊บ

เอาละ ผมเลยขอเชิญท่านๆ มาเปลี่ยนมุมมองเรื่องนี้กันซักหน่อย โอเค คุณอัดได้ถ่ายได้เหมือนเดิม แต่ก็อยากให้เกียรติศิลปิน ให้เกียรติผู้จัด ให้เกียรติเพื่อนๆ ที่รับร่วมกัน รวมถึงให้เกียรติตัวเองสักหน่อย รอให้เป็นช่วงแบบเฮฮาหรือศิลปินเดินลงมาบุกถึงที่นั่ง โอเค ถล่มชัตเตอร์เลย แต่ถ้าระหว่างโชว์เนี่ย ผมว่าถ่ายภาพยังพอทำเนา แต่ถ้าอัดคลิปเลยก็ไม่ไหวแหงๆ เอาเป็นว่าถ้ารักศิลปิน ก็เบาๆ พฤติกรรมนี้กันหน่อยเนอะ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน และผมก็อยากให้ทุกๆ คน ได้ดูคอนเสิร์ตกันอย่างสนุกสนานและเต็มอิ่มกับบรรยากาศให้มากที่สุด ตะโกนเชียร์ศิลปินให้เต็มที่ ไม่ต้องมาพะวงกับหน้าจอตอนถ่ายและคุ้มค่าบัตรที่จ่ายไปนะจ๊ะ ไม่ต้องเอาค่าบัตรเราไปหารแชร์ให้คนดูคลิปฟรีหรอก 

อันนี้เค้าถ่ายเอง คอน NJ ถ่ายอังกอร์ด้วย ฟินละ :v

ทิ้งท้ายก่อนจบ มาทำ Poll กันซักหน่อยดีกว่าว่า คุณเห็นด้วยหรือไม่ว่าการถ่ายคลิป/ถ่ายภาพระหว่างคอนเสิร์ตเล่นเป็นเรื่องปกติและยอมรับกันได้หรือไม่



ปล. ๑ : ถ้าคอนฯ ไหนเค้าอนุญาตและไม่ได้ห้าม ก็ขอเชิญท่านควักมือถือมาถ่ายให้สาใจเทอญ

ปล. ๒​ : อาจจะมีคนค่อนแคะอีกว่า "ก็ไม่มีตัง บ้านไกล อดดู ขี้เหนัยวจัง ให้ดูแค่นี้ก็ไม่ได้" ประทานโทษ น้องที่มาดูด้วยมาจากเชียงใหม่ ตั้งใจมาดูคอนเสิร์ตที่กทม.น้องก็ทำครับ เหอะๆๆๆ 

ปล. ๓ : ถ้าบางคนอ่านจบแล้วก็มีคำตอบหลุดออกมาจากสมองว่า "ทำไมต้องทำตามวะ ตังข้า ข้าจ่ายมาดูคอนเสิร์ตข้าต้องทำอะไรก็ได้สิ" ก็ตามแต่จะคิดนะฮะ ผมแค่อยากขอความร่วมมือ ไม่ได้บังคับให้คุณทำ ทำไม่ทำก็แล้วแต่ตัวคุณเอง จบนะ
จั่วหัวบล็อกรอบนี้มาซะสยิวเลย คือเรื่องของเรื่องมีเหตุได้ไปธุระที่ต่างประเทศ แล้วตั้งแต่เกิดมาก็ไม่มีหนังสือเดินทางหรือ Passport เป็นของตัวเอง เพราะคิดว่ากว่าจะได้ไปต่างประเทศก็โน่นนน เก็บเงินไปเที่ยวเองละมั้ง ไปๆ มาๆ มีเรื่องให้ได้ไปจนได้ ซึ่งผู้จัดงานส่งฟอร์มการเข้าร่วมงานมาให้กรอกก่อนวันที่ 23 เผอิญว่ามานั่งกรอกวันที่ 23 นั่นแหละ ก็กรอกไปเพลินๆ ซักพักถึงกับชะงักเมื่อเห็นว่ามีช่อง Passport ID กับ Passport Expire Date ด้วย เวรละไงตู ไม่มี Passport ทำไงดี เวลาตอนนั้นก็เกือบ 11 โมงซะด้วยสิ พี่อีกคนที่ไปด้วยก็บอกเลือกเลย "บางนากับปิ่นเกล้าไปไหน ไปช้าคนเยอะนะ" อีกอย่างไปทำก็ได้เลข Passport เลย เวลานั้นตัดสินใจยากมากเพราะมันไกลจากลาดพร้าวทั้งสองที่เลย ตอนนั้นเองพี่ๆ ที่ออฟฟิศจะออกไปพบลูกค้าที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะพอดี ก็เลยขอเกาะรถพี่เค้าไปด้วย (ขอบคุณอย่างแรงมา ณ ที่นี้นะครับ) ก็เลยเสี่ยงดวงไปละกัน ไปรอก็รอ (ก่อนหน้าได้ยินกิตติศัพท์เรื่องการทำ Passport มาว่าคนเยอะ รอนานมาก บลาๆๆ ก็เลยทำใจล่วงหน้าไว้ละ) พี่ Co-Project ก็ให้เตรียมเอกสารพวกสำเนาทะเบียนบ้านกับสำเนาบัตรประชาชนไปด้วย ก็หยิบไป

ที่อยู่กรมการกงสุล
ตัดภาพไปตอนที่อยู่หน้ากรมการกงสุล ณ เวลา 12.20 น. ไปแบบงงๆ (คนมันไม่เคยนี่หว่า -//-) (อย่าไปที่ศูนย์ราชการนะครับ เค้าทำ Passport เฉพาะข้าราชการกับหมู่คณะเท่านั้น ทำคนเดียวให้มาที่กรมการกงสุลนะจ๊ะ) ก็เข้าไปรับบัตรคิวก่อน เค้าก็ขอบัตรประชาชนไป ก็ได้บัตรคิวกับเอกสารที่ต้องกรอกมา 1 ใบ ตอนนั้นคิวที่ 950 กว่าๆ เราได้ 1004 ตอนนั้นก็คิดว่า บ่ายละมั้งกว่าจะได้ทำ ปรากฎว่าคิวมันไหลแบบพรวดๆ เลย เพราะคิวผมถึงประมาณ 12.35 น. เค้าก็ตรวจเอกสารหน้าห้องแล้วก็ให้ไปวัดส่วนสูงแล้วก็เข้าช่องไปทำเรื่องต่อ ตอนนั้นพวกเอกสารกับความพร้อมนี่เต็มที่นะ แต่หน้าโคตรไม่พร้อมอะ หัวฟูๆ หนวดเฟิ้มๆ เห็นหน้าตัวเองบน Passport ก็แบบ.... orz (พี่คนทำเอกสารยังบอกเลย ภาพเป็นขาวดำนะคะ ไม่ต้องห่วง ฮืออ) ระหว่างทำเอกสารเค้าก็ไม่เอาเอกสารอะไรที่เราเอาไปเลย ฉะนั้น ใครจะไปทำ ไม่ต้องเอาเอกสารอะไรไปนะครับ เค้าลิ้งค์ข้อมูลจากบัตรประชาชนเราหมดแล้ว (กว่าจะหมดยุคการทำสำเนาเอกสารนี่นะ -*-) ก็ถ่ายรูป สแกนนิ้วกันไปตามระเบียบ พอเสร็จก็ไปจ่ายตัง ค่าทำ 1000 บาท อันนี้เฉพาะค่าธรรมเนียมที่ทำ Passport นะ ถ้าจะมารับเองก็รอ 2-3 วันมาเอาที่กรมการกงสุลได้เลย ส่วนใครที่จะให้เค้าส่งไปที่บ้านก็เขียนที่อยู่ที่จะให้เค้าส่งไปที่หลังใบเอกสารตอนเรารับบัตรคิวอะครับ (จำไม่ได้จริงๆ ว่าไอ้ใบนั่นเค้าเรียกอะไร T-T) ก็จะส่งเอกสารมาให้ที่อยู่ที่เราระบุไว้เลย เสียค่าส่งเพิ่มอีก 40 บาท ง่ายมาก!


เบ็ดเสร็จระยะเวลาในการทำวันนั้น ไม่เกิน 30 นาทีครับ ส่วนเรื่องส่งมาบ้าน ผมไปทำวันอังคาร ได้วันเสาร์สดๆ ร้อนๆ เลย ปุ๊บปั๊บรับโชคมาก คือช่องทำที่กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะช่องเยอะมากกกก มากจริงๆ ก็เลยทำให้คิวเร็วตามไปด้วย แต่ถ้าใครจองคิวออนไลน์ไว้ในเว็บก็อาจจะเร็วขึ้นไปอีก ไม่ต้องนั่งรอเรียกคิวนั่นเอง ส่วนเอกสารนั้นไม่ต้องเอาอะไรไปเลยครับ เอาบัตรประชาชนไปใบเดียว พร้อมการแต่งตัวที่สุภาพก็พอ เพราะเค้าจะถ่ายรูปเราแปะไปที่ Passport ด้วยนั่นเอง
เว็บ FaceBlog.in.th นี่ก็เกิดขึ้นมาได้นานละ มาวันนี้ก็ได้ฤกษ์งามยามดี จัดงานพูดคุยกับสนุกๆ กับงาน FaceBlog Talk ครั้งที่ 1 ณ Muchroom Coworking Space ขึ้นมา ก็ผ่านพ้นไปด้วยดีครับ เจ้างานอย่างพี่เดือน (@buumoon) ก็ยิ้มแก้ฉีกกันไปสิ


รายละเอียดงานจริงๆ ก็ไม่มีอะไรมากครับ เป็นงานที่คุยกันเรื่องของ Social Media ในปัจจุบันกับคนไทย ประกอบไปด้วย 3 เรื่องคือ
  • ประเด็นการขายของออนไลน์ ปัญหา เครื่องมือ และทางแก้ โดยบ้านแบน พี่แอน (@iannnnn) และ พี่โบ (@monamafia) อันนี้พูดเรื่องของ Facebook เป็นหลัก
  • ต่อมาก็เรื่อง Thaitrend โดยพี่ไอซ์ (@icez) อันนี้ก็ Twitter ล้วนๆ
  • สุดท้ายยยย ของผมเอง Google+ ไม่ใช่เมืองร้าง


ตอนแรกก็คิดเหมือนกัน จะพูดไงดี มันก็ร้างอยู่นะ (T_T) แถมข้อมูลของ Google+ เนี่ย มันน้อยแบบ 1/3 เลยนะ ข้อมูลแบบเป็นทางการจาก Google ก็แบบ... แต่ก็ต้องกู้หน้าให้ได้ ในฐานะของติ่ง Google คนหนึ่ง ก็ได้ข้อมูลมาเล่าให้ฟังเล่นๆ ตามนี้ฮะ


อ่านสไลด์แล้วคงจะงง งั้นขอเล่าเป็นข้อๆ ไปละกัน
  • Google+ ออกให้ใช้งานได้เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2554 สิริอายุได้ 3 ปีหยกๆ ถ้าสังเกตดีๆ Logo ของ Google+ ก็เปลี่ยนแทบทุกปี... (ดีนะคนไม่ค่อยเล่น เลยไม่ค่อยบ่นกัน 555+) (Slide 6)
  • Vic Gundotra อดีตหัวหน้าทีม Google+ ผู้ขับเคลื่อนให้ Google+ มีอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ออกมาตลอด แต่ปัจจุบันได้ลาออกจากบริษัท Google ไปแล้ว ลูกน้องและทีมของ Google+ ก็เลยต้องสลายโต๋ไปอยู่กับทีม Android เพียบเลย (ดู Google I/O ปีนี้ก็พอจะเดาทางได้นะฮะ) (Slide 7)
  • หน้าตาและ UI ของ Google+ นี่เปลี่ยนไปตลอดเวลา ไม่รู้ว่านักพัฒนานึกคึกอะไร สังเกตได้จาก 3 ปี หน้าเว็บเปลี่ยนไปแล้ว 3 รอบ (Slide 10-14)
  • ระบบ Circle คือหัวใจสำคัญของการใช้งาน Google+ นั่นเอง หลักการก็เหมือนเล่น Twitter แต่เราต้องจับคนเหล่านั้นเข้า List ของเราเลย (Slide 15)
  • ฟีเจอร์ที่ Google ชูขึ้นมาว่าชั้นคือ Social Network ที่เลิศคือ ใส่ภาพ Animate GIF ลงไปได้ แถมขยับให้ด้วย ตอนนั้นคนก็เล่นทำมีม GIF ประเภทล้อเลียน Facebook กับ Google+ เยอะมาก (Slide 17-18)
  • อีกอย่างคือ สามารถใส่ Format ในข้อความได้ เช่นตัวหนา ขีดฆ่าหรือตัวเอียง เท่เลยแหละ แถมเวลาจะเมนชั่นหาใครก็พิมพ์ + ตามด้วยชื่อแค่นั้นเอง (Slide 19)
  • Facebook มี Group Google+ ก็มี Communities เอาสิ (อันนี้อ่านรายละเลียดเพิ่มเติมที่นี่เลย(Slide 20)
  • อีกฟีเจอร์คือ Google+ Hangouts แอปแชทที่ใช้งาน Video Call มากสุด 10 คน แถมทำถ่ายทอดสดได้อีก ซึ่งปัจจุบันนี้ก็แยกตัวเองออกมาเป็นเกือบๆ Standalone แล้ว (Slide 22)
  • พอคุณ Vic ลาออกไป ก็เลยเกิดข่าวว่า ถึงเวลาขาลงของ Google+ ตอนนั้นคนก็ยิ่งออกห่างจาก Google+ ไปอีก มันก็เลยเงียบ จนมีคนคิดว่าสุดท้ายก็น่าจะตาย (Slide 24-26)
  • ซึ่งจริงๆ มันไม่ได้ตายหรอก มันกลายเป็นเหมือนผีชีวะที่คอยหลอกหลอนไปตลอดเวลา ไม่ว่าจะใช้งานอะไรเกี่ยวกับ Google ก็ตาม เช่น Youtube หรือปุ่ม Google+ Sign in เป็นต้น (Slide 28-32)
  • ถ้าอยากใช้งานให้สนุกขึ้น ก็ใช้แอป Google+ บนมือถือคู่ไปด้วย หรือถ้าชอบถ่ายรูปแน่นอนว่าสนุกจริงๆ (Slide 33-36)
  • ซึ่งแนวทางของ Google+ ตอนนี้ คิดว่าคงจะเน้นภาพถ่ายให้มากขึ้น เพราะมันมีฟีเจอร์ Auto Awesome ที่ทำให้ภาพถ่ายสวยขึ้นและสนุกมากขึ้นนั่นเอง (Slide 38)
  • ส่วนด้านธุรกิจ ก็ยังไม่โอเคเท่าที่ควร คือมันก็ไม่ค่อยบูมเท่าไหร่แหละ แต่ก็พอใช้งานได้ ที่เห็นหลักๆ คือ Google+ Pages นั่นเอง (Slide 39-42)
  • ส่วนคนใช้ Google+ ที่ Active อยู่ก็ยังมีอยู่ แต่ก็ไม่มาก แต่ชอบผู้ใช้ที่เข้ามาสมัครที่สูงพอควร ในไทยก็ใช้แบบครึ่งต่อครึ่งเลย (Slide 43-45)
  • สุดท้าย อนาคตที่คนไทยน่าจะหันมาใช้ Google+ ก็อาจจะมี เพราะ... (Slide 47-48) ที่ใดมีการแชร์ภาพศพหรือมีโฆษณากลูต้าเข้าถึง ผมว่าตอนนี้ก็มีโอกาสแล้วหละ...

ทั้งหมดก็คือเนื้อหาในสไลด์นะครับ แต่ก็มีนอกเนื้อจากนั้นอีก จริงๆ จะพูดแต่ก็ดันลืมใส่ในสไลด์ คือเรื่อง
  • Google+ ทำ SEO ได้ง่ายมากขึ้น เช่น ถ้าผมโพสต์รูปๆ นึงแล้วใส่ข้อความเข้าไป ติดแท็กพร้อมเลือกโพสต์เป็น Public ถ้าเกิด Keyword มันตรงกับข้อความที่คนหาผ่าน Google.com มันก็จะแสดงโพสต์ของเราในหน้าการค้นหา เรียกได้ว่าไม่ต้องเสียเงินไปทำ Google Adwords ให้เสียเวลา แต่มันจะได้ผลแรงมากเมื่อผลการค้นหานั้นๆ เป็นของเพื่อนใน Circle เรานั่นเอง
  • คนไทยที่อยู่ต่างจังหวัดใช้ Google+ กันเยอะมาก เหตุผลน่าสนใจครับ พี่มาร์ค (@markpeak) สันนิษฐานว่า เพราะมือถือ Android เข้าถึงคนต่างจังหวัดเยอะ ทีนี้ Google+ เป็นแอปนึงที่ติดมากับมือถือตั้งแต่แรก ก็เลยกลายเป็นว่าคนก็ใช้ Google+ คู่กับ Social Network ตัวอื่นไปด้วยนั่นเอง
  • พี่ไอซ์ (@icez) เสริมเรื่อง Google+ Auto Backup for PC ที่เราสามารถอัพภาพของเราผ่านกล้องหรือเมมโมรี่ การ์ดเข้าไปที่ Google+ ได้แบบอัตโนมัติ
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเนื้อหาที่ผมได้พูดคร่าวๆ ไปฮะ ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญมากนะ แต่ก็พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แชร์ให้คนอื่นรับรู้ได้ ส่วน Session ก่อนหน้า 2 อันคงจะอธิบายไม่ได้มาก เพราะตอนนั้นปั่นสไลด์มือหงิกอยู่ (T_T) เลยไม่มีสมาธิฟังเลย (ขอโทษค๊าบบบ)



งานดีๆ สนุกๆ แบบนี้คงจะจัดขึ้นในอนาคตอีกแน่ๆ กระแสดีเกินคาด เอาเป็นว่าถ้าทาง FaceBlog.in.th จะจัดงานแบบนี้อีก จะรีบคาบข่าวมาบอกแน่นอน ก่อนจบบล็อกนี้ ก็ขอฝากประโยคเด็ดประจำ Session ที่ว่า...


ขอบคุณภาพประกอบจาก @iamgotta และ @blognone นะค๊าบ
ภาพฝันที่จะได้เห็นภาพลักษณ์ของรายการบนทีวีดิจิตองของไทยมีพัฒนาการมากขึ้นคงจะโดนฉุดรั้งจากพวกบ้าเรทติ้งแน่ๆ ... โดยเฉพาะช่องอินฟินิตี้ตั้งตรงเนี่ย บ้าเรทติ้งอะไรขนาดนั้นครับคุ๊ณณณณณณ พักก๊อนนนนนน ผมพอเข้าใจว่าเรทติ้งคุณดีบนเคเบิ้ล/ดาวเทียม แต่นี่ทีวีดิจิตอล อ่านปากวีรยุทธอีกทีนะครับ "ที๋-วี๋-ดิ๊-จิ-ตอลลล~" ช่วยหยุดเอาคอนเทนท์รายการบั่นทอนปัญญาออกไปเหอะ อย่างเช่น


(  -__-") อะไรคือละครที่มันบิดามารดาสิ้นบั่นทอนสติสุดๆ คือพี่ท่านตั้งใจจะทำคอนเทนต์มาตีตลาดแม่บ้านกับแม่ค้าตามตลาดชัวร์ๆ แต่ขอโทษเถอะคุณ เด็กมันก็ต้องดูกับแม่ปะ ? แล้วนี่มันอาร๊ายยยยย แล้วแม่งก็เซนเซอร์นมชิสุกะ เซนเซอร์เหล้า ชีวิตต้องป๊อบเกินไปปะคุณ ทีอีพวกตบกันนัว มีคำหยาบนี่แบบ... นี่แสดงว่าไม่รับผิดชอบต่อสังคมเท่าไหร่นะครับ พูดตรงๆ กลัวไม่มีคนดูเลยหาทางเรียกเรทติ้งแบบนี้ซะเลย เหอะๆๆๆ อ้อ ฝากอีกเรื่อง เอาโลโก้บริษัทออกเถอะครับ บ้านนอก ทีวีต่างประเทศเค้าไม่มีนะครับ ช่องอื่นที่เป็นดิจิตอลตอนนี้เค้าก็ไม่ใส่กัน ทำไมครับ กลัวไม่รู้หรอว่าช่องนี้ใครทำ เหอะๆๆๆ

ส่วนคุณป้าผู้ดูแลนิตยสารเสือกเรื่องดาราครับ กรุณาทำรายการให้ตรงกับช่องหน่อย ช่องเด็กและครอบครัวแต่รายการแม่คุณแบบ... อื้อหือ เด็กมากกกกก เด็กจะโตมาแก่แดดแน่ ส่วนช่องข่าวก็มีข่าวนะ แต่ข่าวบันเทิงมาเต็ม แล้วก็มีรายการอะไรแปลกๆ เยอะไปนะครับ แล้วได้ข่าวว่าจะล้มเรทติ้งช่องฟรีทีวีเก่า โถ~ นี่หวังมากไปปะครับ ชื่อช่องนี่ก็ไม่รู้จะเปลี่ยนทำไม ไปๆ มาๆ นึกว่าชื่อช่องรายการเพลงลูกทุ่งเลยนะครับ





สุดท้ายที่อยากบ่น ช่องสามสีหนะครับ ซื้อไปซะเยอะเลยตั้ง 3 ช่อง แต่ได้ไอ้นี่มา...


คืออาร๊ายยยยยย จะดูรายการทีวีคร๊าบบบบบ เอาซีรีย์มายืดทำไมมมม เอาเพลงประกอบละครมากล่อมโลกทำไมมมมมม เอะอะบอกกลัวเจ๊ง กลัวเรทติ้งตก ก็ย้ายช่องออริจินอลมา HD สิคร๊าบบบบบ เข้าใจว่าประมูลมาคนละบริษัท แต่นี่ไม่คิดถึงอนาคตเลยปะ กะให้รายการมันหายตายจากไปเองเลยปะ เฮ้อ


ทิ้งท้ายไว้ก่อนจบละกัน ผมอยากได้ตลาดรายการใหม่ๆ เข้าใจว่ามีพ่อใหญ่อยาก WorkPoint กินเปอร์เซ็นต์รายการอยู่ แต่ถ้าทำให้รายการมันดังเหมือนที่เราไปรับคอนเทนต์เค้ามาฉายได้เนี่ย มันก็วินๆ กันทั้งหมด บริษัทผู้ผลิตดีๆ ที่อยากจะทำรายการก็ไม่ได้ทำเพราะโดนกันท่าหมด ขอร้อง หยุด! วางเรทติ้งออกก่อน แข่งกันที่คุณภาพเถอะครับ จะได้มีรายการดีๆ ที่เหมาะสมและเข้าล็อคกับช่องทั้งหมดเพื่อคนไทย เพื่อสังคมที่ดี ทีวีก็เป็นช่องทางหนึ่งที่คนรับรู้ได้ดีที่สุดของไทยนะ เข้าใจว่าอยากทำอะไรเพื่อการตลาด (ผมก็รู้ว่าการตลาดแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ทำได้ดี) แต่ก็ควรจะรับผิดชอบต่อสังคมหน่อย อย่ามาเอะอะบอกว่า หนังตบๆ ตีๆ แย่งผัวกัน มีการสอดแทรกข้อคิดนะคะ อย่า! นี่ไม่เชื่อ สุดท้ายพวกแกก็ Happy Ending ตามแบบฉบับละครไทย แล้วไหนหละข้อคิด มีแต่เสียงเชียร์พวกแกตบกันมากกว่า จะรอดูต่อไปว่าอนาคตทีวีดิจิตอลจะเป็นอย่างไรต่อไป ตอนนี้ 30 กว่าช่อง ดูอยู่ไม่กี่ช่องจริงๆ เพราะรายการเค้าดีจริง ส่วนช่องที่พูดๆ มาเนี่ย ดูนะ แต่ดูเพื่อติ จบ!!


ปล. : หยุดเอา "แรงบันดาลใจ" ของชาวบ้านมาทำรายการซักที อยากได้รายการใหม่ๆ บ้าง ... นะ

ปร. : แล้วก็หยุด!! ไอ้พวกรายการประกวดทั้งหลายแหล่เนี่ย จะประกวดอะไรนักหนา นักร้องล้นประเทศแล้วพ่อคุณ

ปว. : ส่ง SMS เนี่ย หยุดใช้ได้ละมั้ง รำคาญตา จะเอามาใช้ทำไม เปลืองตังก็เปลือง วู้!!

ขอบคุณภาพจาก : +Tatthep Deesukon และ +Plug Supakrit
จริงๆ มันไม่ได้ยุ่งอะไรขนาดนั้นนะเหตุผลเดียวที่ไม่ค่อยได้เขียนคือ... "ขี้เกียจ" แฮะๆ บางทีก็อยากจะพิมพ์แล้วก็ขี้เกี๊ยจขี้เกียจ (อย่างเอนทรี่นี้คือความว่างล้วนๆ อยากเขียน 555+) ก็ระหว่างเปลี่ยนผ่านงานตั้งแต่ต้นเดือนเมษาที่ผ่านมา อยากจะบอกว่ามันมีอะไรให้เขียนเยอะมว๊ากกกก คือเขียนได้ทุกวันอะ ไปออกงานบ้าง ทำอะไรแปลกใหม่ๆ เกี่ยวกับสายงานบ้าง เที่ยวบ้าง (เออ ขอบอกว่าเที่ยวบ่อยมาก ถึงมากที่สุด เดือนพ.ค.เที่ยวไปตั้งสามที่ 555+) แล้วก็ไม่ได้เขียน แล้วก็ลืม... เออจริง ชีวิตแม่งขี้ลืมมาก ขนาดที่ว่าเอาสายหูฟังคล้องคอไว้ กลับมาบ้านรู้ตัวว่าหายอีกทีตอนเย็น เหอะๆ คือกับบล็อกตัวเองนี่ขี้เกียจนะ แต่กับ Faceblog.in.th นี่ บ่ยั่น เขียนให้ได้ตลอด (จริงๆ หัวหน้าแก๊งดุ ขัดไม่ได้ :P) เห็นมะ ตลกตัวเองอะ ทีข่าวเขียนได้ บล็อกเขียนไม่ได้ ฮืออออ (;___;)


เอาเป็นว่า จะพยายามกลับมาเขียนบล็อกเหมือนเดิมละกัน (เธอบอกว่าอย่าพยายามอีกเลย~~) ถ้าไม่ได้อัพเป็นข้อความก็จะพยายามเอารูปมาแปะๆๆๆ ละกัน จะได้มาแชร์ประสบการณ์ใหม่ๆ บ้าง พอละ อยู่ๆ ก็ขี้เกียจ นอนดีฝ่า _(:3 」∠ )_

ปล. : เขียนเสร็จ รู้สึกว่าเอนทรี่นี้ขยะมาก พิมพ์อะไรของเอ็งวะเนี่ย สก๊อยเกิ๊น orz
ผมเป็นติ่ง Nintendo ครับ รู้จักกันมั้ย บริษัทที่ผลิตเครื่องเกมที่เด็กบนโลกไม่รู้จัก GameBoy ไงครับ นั่นแหละบริษัท Nintendo แล้วรู้จักเกม Super Mario กันมั้ย ลุงหนวดที่เก็บเห็ด เก็บไฟ มุดท่อ ทำร้ายสัตว์ด้วยการกระโดดทับทับหัวอะ Nintendo ก็เป็นผู้สร้างลุงคนนี้ขึ้นมา


ที่เกริ่นมาซะยาวเป็นนิยายเนี่ย จะบอกว่าเมื่ออาทิตย์ก่อน McDonald's ได้เอาของเล่นพรีเมี่ยมหลอกเด็ก (ที่หลอกเฒ่าทารกอย่างผมได้) มาขายพร้อมชุดแฮปปี้มีล มีหรือที่ติ่ง Nintendo อย่างผมจะไม่สนใจ


ตอนแรกรู้ข่าวผ่าน Twitter ของพี่ @sitdh เพราะเห็นพี่เค้าโพสต์รูปไว้ เห็นครั้งแรกร้องกรี๊ดเลย ต้องออกตามหาให้ได้ โดยกฎมีอยู่ว่า ซื้อชุดแฮปปี้มีล 1 ชุด (85 บาท) จะได้มา 1 ชิ้น และเมื่อบวกเงินอีก 50 บาท คุณก็จะได้เพิ่มมาอีก 1 ชิ้น ซึ่งจะมีโค้ดเนมของแต่ละตัวเป็นเลขตั้งแต่ 1-8 ตามภาพเลย


ภารกิจเริ่มขึ้นในวันที่ 20 พ.ค. มีเพื่อนร่วมภารกิจอีกหนึ่งคนคือ +Oreka Chan ผมและพี่ไปออกตามหาร้าน McDonald's ที่ใกล้ที่สุด เซนทรัลลาดพร้าวนั่นเอง ไปถึงร้านก็ตั้งหน้าตั้งตาถามหาแต่ของเล่นอย่างเดียว ไม่สนใจอาหารของพวกเจ้าเลย ก็สั่งตามปกติว่าเอาแฮปปี้มีลที่เอาของเล่นด้วย บวกเงินอีก 50 บาทเอาอีกตัวนะครับ ตอนที่ให้เลือกอาหารก็เลือกแบบส่งๆ มาก คือไม่ได้ต้องการอาหารไง (ฮ่าๆๆ) สุดท้ายก็ได้มาแล้ว ตัวที่ 1 กับ 2


ต่อมาก็ทราบเบาะแสว่า ของจะเปลี่ยนทุกๆ วันศุกร์ โดยแต่ละสาขาจะขายไม่เหมือนกัน เอาเข้าไป จะให้ยากไปไหนครับพี่โดโน่ววว ฉะนั้นพอเลยวันศุกร์มา ผมก็เลยคิดว่าของน่าจะยังเหลือแหละมั้ง วันจันทร์เลยทวีตลงไปว่าใครทราบเบาะแสตัว 3 กับ 4 แจ้งด้วยนะครับ ก็มีเพื่อนๆ ใน Twitter ที่ช่วยดูให้ @iamgotta ช่วยดูที่สาขาในเขต MRT พระราม 9 ให้  พอผมทราบว่าที่สาขาฟอร์จูนมี 3,5-8 เอสพลาหนาดมี 5-8 ดันไม่มี 4 เลยตัดสินใจว่า ไปเอา 3 แล้วก็ 5 แล้วก็ 6-7 ก่อนก็แล้วกัน เลิกงานเลยตามไปดูที่สาขาฟอร์จูนเลย เมื่อไปถึงก็ต้องงง เพราะตรงป้ายบอกหน้าร้านบอกว่ามีเบอร์ แต่พอถามจริงๆ บอกว่าเหลือแค่ 3 กับ 5 แต่ป้ายบนนั้นบอกว่ายังมี ก็เลยตั้งสินใจซื้อชุดเดียวไปก่อนละกัน เผื่อสาขาเอสพลาหนาดยังมี ได้เบอร์ 3 กับ 5 มา (ค่าเสียหาย 150 บาท) ไปถึงเอสพลาหนาด กลับบอกว่าเหลือแต่เบอร์ 3-4 ก็เลยเอา 3 กับ 5 กลับมาก่อนละกัน ช้ำใจไปตามระเบียบ นึกว่าวันนี้จะได้ครบ 1-6 เลย เฮ้อ


วันต่อมา @Martineynb, @BehemortHz, @ncpeak ก็ช่วยออกตามหาให้ ก็ไม่มีใครเจอกันซักคน แต่ละสาขาใกล้บ้านหมดเกลี้ยงเลย ยังไม่ลดละความพยายามในการตามหา @imtaiki ช่วยผมออกตามหาตั้งแต่ออกจากบ้านรังสิตยันในเมือง ซึ่งผมยังทำงานอยู่ นับถือในความพยายามของวีมากๆ ทำให้สุดท้ายวันนั้น ผมได้ของเล่นมาครบทั้ง 8 ตัวเรียบร้อย (ได้มาจากวีอีก 4 ตัว 2 สาขา) วีเล่าให้ฟังว่า พนักงานไม่ยอมให้ซื้อแฮปปี้มีลบวก 50 บาท ทำให้ทั้ง 4 ตัวเท่ากับแฮปปี้มีล 1 ชุด เบ็ดเสร็จทั้งหมด 340 บาท


สรุปภารกิจตามหาลุงหนวดและผองเพื่อน ค่าเสียหายทั้งหมด 640 บาท (ไม่รวมค่าเดินทาง) ใช้ระยะเวลาตามหาจนครบ 9 วัน ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ช่วยกันตามหาให้นะครับ โดยเฉพาะ @imtaiki ที่ช่วยตามหาให้เป็นอย่างดี ขอบคุณจากใจจริงๆ เดี๋ยวขอตัวไปจุดธูปบูชาลุงหนวดก่อนนะฮะ (-/\-)
เมื่อวานไปดูคอนเสิร์ต Turn Back Time with Tata มา สนุกมากกกกกก จะบอกว่าถ้าใครชอบทาทาแล้วพลาดนั่นคือพลาดจริงๆ เพราะเค้าไม่ทำ DVD การแสดงออกมาแน่นอน (เหตุผลเพราะมีบางเพลงที่ทาง Atime ต้องไปซื้อลิขสิทธิ์มาจาก Sony มาให้ทาทาร้องนั่นเอง) ร้องได้เกือบทุกเพลง ตอนช่วงสากลนี่มีดำน้ำบางเพลง ลุกเต้นเกือบตลอด ตอนแรกก็กะจะนั่งโยก ซักพักไม่ไหวสนุกมากจริงๆ คือขนเพลงมาตั้งแต่อัลบั้มแรกของทาทาจนถึงอัลบั้มล่าสุดเลยทีเดียว (แต่ก็ไม่ล่าสุดเท่าไหร่นะ ใหม่สุดน่าจะ Ready for love เอง)

แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นของเอนทรี่นี้ (อยากเขียนรีวิวคอนเสิร์ตเหมือนกัน แต่ไมไ่ด้เก้บภาพมาให้ชมก็เลยเอาพอหอปากหอมคอละกัน) มันจะมีแทร็คนึงที่ได้ฟังเมื่อวานแล้วชอบมากนั่นคือเพลง I Believe หนึ่งในอัลบั้ม I Believe และเป็นอัลบั้มแรกที่ทาทาเดบิวท์ในฐานะศิลปินไทยที่โกอินเตอร์อีกด้วย เพราะในอัลบั้มนั้นมีแต่เพลงสากลที่เพราะทุกเพลงจริงๆ


เพลง I Believe เนื้อเพลงจะพูดถึงหญิงสาวที่เชื่อในความรักและเชื่อในตัวคนรัก ก็พูดแนวมโนหน่อยๆ นั่นแหละว่าความรักทำให้ชั้นร้อนรุ่ม ทำให้ชั้นมีอิสระอะไรประมาณนี้ ซึ่งฟังครั้งแรกตอนสมัยโน้นนนนนน เกือบม.ต้นละมั้ง เพราะมันออกมาปี 2004 ตอนนั้นก็เออ ฟังผ่านๆ ไม่มีอะไร แต่ตอนนี้พอได้มาฟังมันก็ติดหูวุ้ย เพราะด้วย แล้วก็ไม่แปลกใจที่เพลงนี้ดังมากในแถบเอเชียบ้านเราสมัยนั้น เพราะอะไรหนะหรือ... เพลงนี้มีหลายเวอร์ชั่นทีเดียว ทั้งที่ทาทาร้องเองและที่มีคนเอาไปโคฟเวอร์ใหม่ดังต่อไปนี้...






ซึ่งตอนแรกก็เข้าใจว่าเพลงนี้เป็นของทาทานะเนี่ย แต่จริงๆ มีต้นฉบับอยู่ซะงั้น คือของคุณ Carola โดยชื่อเพลงคือ I believe in love ตามนี้


สังเกตว่าของต้นฉบับจะเร็วพอสมควร แต่ของทาทาก็จะฟังแล้วมันลื่นหูนะ เพราะด้วยเสียงกว้างและใสของทาทาด้วยแหละมั้ง โดยไปหาข้อมูลมาแบบคร่าวๆ เค้าบอกว่า ตอนนั้นไปทำเพลงที่ประเทศสวีเดน แล้วคุณ Carola Häggkvist ก็เลยให้เอาเพลงนี้มาโคฟเวอร์ด้วย (ข้อมูลวิกิ) ฉะนั้นเค้าไม่ได้ก๊อปมานะตัวเธอ

จะบอกว่าไม่เสียแรงที่ติดตามผลงานของทาทามานาน ถึงจะไม่ตื่งมากแต่ก็ตามอยู่เรื่อยๆ แล้วอยากจะบอกว่าที่ทาทาย้ายค่ายไป Sony ผมว่าคุณคิดถูกแล้วหละครับ ไม่งั้นคงไม่มาถึงจุดนี้แน่นอน หายากนะนักร้องที่จะสามารถเริ่มต้นจากในประเทศแล้วออกตัวไปสู่อินเตอร์ได้อย่างประสบความสำเร็จ ยังไงก็อยากให้มีรีสเตจอีกซักรอบ เอาแบบจัดเต็มเลยนะ รับรองว่าจะไปดูแน่นอน สู้สู้นะครับ อ้วนแต่สวยก็อย่าไปแคร์สื่อเลย ^^

ปล. ๑ : บ่นเรื่องคอนเสิร์ตซักนิดก็ได้ พอเข้าใจว่าเป็นของ Atime จัด ใจจริงก็อยากฟังตอนแกรมมี่ครึ่ง ของโซนี่ครึ่ง หวังใจมากว่าจะได้ฟัง I Think Of You แต่ก็ไม่ได้ฟัง แถมช่วงพาร์ทปิดท้าย ทำไมต้องเอาเพลงที่ร้องแล้วมารีรันซ้ำอีกรอบ ก็สนุกแหละนะ เวลาที่เหลือเพลงในอัลบั้มก็มีตั้งเยอะ เอามารีรันทำไมให้เต็มเพลง ทาทาให้เต็มสิบ แต่ลำดับการแสดงของผู้จัดให้ 7.5/10

ปล. ๒ : โปรดักชั่นชอบมากนะฮะ ชื่นชม โดยเฉพาะ El Nin Yo ที่สุดเลย รักคุณเลยทาทายัง <3

ปล. ๓ : ทำไมกระดาษชูโปรเจคต้องมาหมดที่เราด้วยยยยยยยย *กรีดร้อง*


คุณตาเพิ่งเสียครับ ท่านจากไปด้วยโรคภาวะแทรกซ้อนมากมาย แล้วก็เพิ่งฌาปนกิจไปเรียบร้อย ซึ่งในวันฌาปนกิจก็ได้มีโอกาสฟังเทศน์จากพระที่วัด ท่านได้เล่าเคสเรื่องของสามีที่มีภรรยา 4 คน วันหนึ่งยมบาลบอกว่าสามีจะตายใน 7 วัน ด้วยความกลัวสามีคนนั้นเลยไปถามภรรยาทั้ง 4 ว่าใครรักเรา ก็ให้ตายไปกับเรา สุดท้ายก็ไม่มีใครอยากไปเพราะไม่อยากตาย

ถึงแม้ความตายจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงกันไม่ได้ มนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ บนโลกที่เดินไปตามการไหลของเวลา ผมมองว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์อยากจะเดินออกมาจากความตายคือ เวลา ทุกคนไม่อยากแก่ อยากมีชีวิตสุขสบาย อยากเดินได้ ฟังเพลงได้ มีความสุขตามกำลังของตัวเองได้โดยไม่แก่ แต่ก็คงไม่มีมนุษย์คนไหนที่หนีมันพ้นหรอกครับ ต่อให้เรายิ่งหลีกหนี เราก็จะยิ่งเจ็บปวด

ซึ่งเวลานี่เอง ที่เป็นสารเร่งความเจ็บปวดชั้นดี เพราะเมื่อเวลาผ่านไป เราก็อายุมากขึ้น คนรอบข้างเราก็จะล้มหายตายจากกันไปตามกาลเวลาเช่นกัน แล้วยิ่งถึงเวลาที่เราต้องสูญเสียคนรักไป โดยเฉพาะพ่อหรือแม่ของเรา ผมว่ามันคงเป็นช่วงเวลาที่บาดเจ็บที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพียงแต่ว่าจะบาดเจ็บมากหรือน้อย มันก็ขึ้นอยู่กับวิธีการของการจากลานั้นๆ

ทุกๆ วันผมได้แต่คิดว่าวันนึงถ้าต้องสูญเสียคนรักไป ไม่ว่าจะพ่อแม่เพื่อนฝูงมันจะรู้สึกอย่างไรในเวลานั้น แล้วเราจะผ่านมันไปได้อย่างไร แล้วถ้าถึงคราวของตัวเองหละ เมื่อเราเสร็จสิ้นภารกิจในการไหลตามกาลเวลา เวลานั้นเราจะเป็นอย่างไร คนอื่นจะมาเสียใจเพราะเรามั้ย เราก็ไม่อยากให้เค้าเจ็บปวดเพราะเราเหมือนกัน

มีคำสอนในศาสนาพุทธที่บอกว่า 'ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย' แต่เอาเข้าใจ ถึงเราไม่ประมาท ก็อาจจะตายได้เช่นกัน เหมือนหลายๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมาเช่น ขับรถอยู่ดีๆ ก็โดนรถอีกคันเสย หรือโดนของตกทับใส่จนตาย สุดท้ายความประมาทก็ไม่ได้ช่วยให้เราหลีกพ้นจากความตายได้เสียเมื่อไร

ฉะนั้น ผมมันจะคิดตลอดเวลาว่า เวลาที่เหลือทั้งในภารกิจมนุษย์ เราต้องดูแลคนที่เรารักให้มากที่สุด อยากทำให้พ่อกับแม่สบายในยามที่เราเริ่มเป็นผู้ใหญ่แต่ท่านเริ่มแก่ชรา แบ่งปันความสุขของเราให้กับคนอื่นด้วยเช่นกัน รวมไปถึงเผื่อใจในทุกๆ นาทีว่า ถ้ามีใครเสร็จสิ้นภารกิจไป เราต้องทำใจให้ได้ และขอให้สติอยู่กับตัวเองเสมอ และพร้อมที่จะเดินทางด้วยความเข้มแข็งบนเส้นทางที่มีแต่ความเหงาและความมืดมิดทางจิตใจ

หลับให้สบายนะครับคุณตา มีความสุขมากๆ บนสวรรค์นะครับ :)
วันก่อนเดินผ่านโรงเรียนประถมแถวที่ทำงาน แล้วเห็นคุณครูปล่อยนักเรียนออกมาเก็บขยะกันหน้าโรงเรียน เข้าใจว่าน่าจะเป็นการฝึกเรื่องจิตสาธารณะ ซึ่งโรงเรียนตอนเด็กๆ ของหลายๆ คนก็คงมีการปล่อยให้เก็บขยะแบบนี้อยู่แน่นอน เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมเรื่องคุณธรรม


ประเด็นมันอยู่ที่ความไม่จริงใจต่อจิตสาธารณะของนักเรียนนี่แหละครับ เวลาครูปล่อยให้ไปเก็บขยะปั๊บ บางกลุ่มก็เดินลอยชาย บางกลุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตาเก็บกันสุดยิก ตัวแปรสำคัญของกิจกรรมนี้อยู่ที่คำว่า "คนละ 10 ชิ้นถึงจะเข้าห้องเรียนได้" (หรืออาจจะให้กลับบ้าน ได้คะแนนก็ว่าไป บลาๆๆ) ซึ่งพอใกล้จะหมดเวลา กลุ่มที่เดินลอยชายก็วิ่งไปแย่งจากพวกตั้งใจเก็บ หรือคนไหนฝึกคอร์รัปชั่นแต่เด็ก ก็จะไปวิ่งหาเศษใบไม้ใบใหญ่ แล้วก็ฉีกให้ครบ 10 ชิ้น แล้วก็ให้ครูตรวจขยะแล้วก็ทิ้ง ผมจำได้ลางๆ ตอนเด็กว่าตั้งใจเก็บทุกชิ้นเลย เศษพลาสติกเอย เศษขยะเอย แล้วไปให้ครูตรวจด้วยความภูมิใจว่า 'นี่ๆๆ ครบด้วย ไม่ซ้ำกันเลยนะ ไม่มีเศษใบไม้แห้งเลย' พอเอาเข้าใจ ครูก็ไม่ได้ตรวจจริงๆ หรอก มองๆ แล้วก็สั่งให้ไปทิ้ง เฮ้อ (-_-)

ผมว่าไอ้เรื่องการฝึกจิตสาธารณะให้เด็กเนี่ย ไม่ใช่เรื่องที่ช้าหรือเร็วไปนะ ซึ่งทุกคนรู้ว่าขยะในมือท่าน ต้องหย่อนลงถังเถอะครับ พอโตมาปัญหาเริ่มมีความซับซ้อนกว่าเดิมคือการแยกขยะ...  ทั้งหมดทั้งมวลมันเหมือนเราถูกสอนกันมาผิดๆ นั่นแหละครับจริงอยู่ว่าการทำแบบนี้ก็สอนเด็กได้ทางอ้อมมั่งละนะ แต่การไปกำหนดว่า 10 ชิ้น 20 ชิ้นถึงจะผ่านเกณฑ์มันถูกไม่คือเลยแฮะ ตอนที่เดินผ่านโรงเรียนประถมที่บอกข้างบนผมก็ยังเห็นเศษขยะเต็มหน้าโรงเรียนอยู่เลย เด็กบางกลุ่มก็ยังมาขอกลุ่มที่ตั้งใจเก็บอยู่ดี สรุป... ก็ไม่ได้ช่วยให้เด็กมีจิตสาธารณะเท่าไหร่อยู่ดี

ฉะนั้น เรื่องจิตสาธารณะในการรักษาความสะอาดในเด็ก ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงของครูทั้งหลาย ก็อยากจะให้อธิบายซักนิดว่าทำทำไม ทำแล้วได้อะไร ไม่ใช่อยู่ๆ ก็โผล่งผล่างว่า 'ไปเก็บมา 10 ชิ้น' จบ... แล้วยังงี้เด็กจะได้อะไรครับ ถึงจะไปกำหนดให้ลึกกว่าเดิมว่า 'ไม่เอาเศษใบไม้นะ' เด็กที่กำลังฝึกวิทยายุทธคอร์รัปชั่นก็ยังคงทำเหมือนเดิมคือ ฉีกเศษพลาสติกให้ครบ 10 ชิ้น เอาเป็นว่าสอนเด็กซักนิดก็ยังดีครับ ว่าทำแล้วได้อะไร หรือจะทำเป็นชั่วโมงจิตสาธารณะแบบเต็มชั่วโมงผมว่าก็เวิร์คนะ ให้เด็กช่วยกันทำความสะอาดโรงเรียนเลย สนุกดี โรงเรียนผมมีเหมือนกัน Big Cleaning Day ขัดพื้นห้องเรียนกันสนุกมาก แต่ไม่รู้เดี๋ยวนี้มีหรือเปล่านะ เด็กสมัยนี้กับสมัยผมมันต่างกันเยอะแล้ว (T_T)

ปล. ที่พูดมาทั้งหมดนี่ทำมาหมดละ ฮ่าๆๆๆๆ
ต้องยอมรับว่าปัจจุบันนี้ Social Network มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในสังคมของมนุษย์เรา วันๆ หนึ่งมีข้อมูลมากมายมหาศาลที่ไหลอยู่ในสังคมออนไลน์นับไม่ถ้วน รวมถึงข่าวสารต่างๆ มากมาย ที่สำคัญบ้านเมืองเดี๋ยวนี้ก็เกิดอะไรมากมาย จะมามัวเสพย์ข่าวผ่านหนังสือพิมพ์หรือทีวีก็คงจะไม่ทันใจใช่ไหมเล่า เราก็จะเห็นได้ว่าสำนักข่าวหลายๆ เจ้าทั้งไทยและต่างประเทศก็เริ่มให้ความสำคัญกับการนำเสนอข่าวผ่านสังคมออนไลน์กันมากขึ้น เพราะมันรวดเร็วกว่ายังไงหละ


ทีนี้พอเรามองไปที่ Social Network ระดับตัวพ่อในประเทศไทย ตอนนี้ Facebook ก็ยังได้รับความนิยมเปรี้ยงปร้างอยู่  ซึ่งจริงอยู่ว่ามีผู้ใช้เยอะมากมายนะ แต่ด้วย Algorithm ของ News Feed อันแสนจะไม่โปรดปรานต่อผู้เสพย์ข่าว มันไม่เอื้อต่อการนำเสนอข่าวแบบ real-time เท่าที่ควร ฉะนั้นผมก็เลยมานำเสนอการใช้ Social Network อีกตัวที่ฮิตไม่แพ้กัน นั่นคือ Twitter นั่นเอง

เกริ่นสั้นๆ กับ Twitter



Twitter (อ่านว่า ทวิตเตอร์) เป็นสังคมออนไลน์ประเภทหนึ่งที่อยู่ในหมวดของ Micro-Blog ซึ่งคุณสามารถเล่าเรื่องราวที่พบเห็นในประจำวันได้อย่างอิสระภายใต้ 140 ตัวอักษรต่อ 1 ทวีต (หรือ 1 ประโยค) วิธีการเล่นก็ไม่ซับซ้อนอะไรมากมาย เพียงแค่เราอยากอ่านเรื่องราวของใครก็ตามไปกดติดตามหรือ Follow คนนั้น เราก็จะเห็นว่าในแต่ละวันเค้าทวีตอะไรบ้าง แล้วถ้ามีคนมากดติดตามคุณเค้าก็จะเห็นว่าคุณทวีตบ้าง หากชอบใจทวีตไหนก็กด Retweet (RT) เพื่อให้คนที่ติดตามคุณเห็นด้วย ซึ่งสิ่งที่ช่วยตอบสนองให้การใช้งาน Twitter ได้ดีขึ้นนั่นคือ Timeline ซึ่งเราจะเห็นทวีตต่างๆ ของเพื่อนที่เราติดตามไว้แบบ real-time วินาทีต่อวินาทีเลยทีเดียว ทำให้เกิดความรวดเร็วในการสื่อสารมากขึ้น แต่ก็แลกมาด้วยการนั่งอ่าน Timeline ทั้งวัน และข้อดีของการใช้งาน Twitter อีกอย่างหนึ่งคือ สามารถใช้งานผ่านหน้าเว็บไซต์หรือแอปบนมือถือทั้งที่เป็นของ Twitter เองหรือจะเป็นนักพัฒนาที่นำ API ไปใช้งานก็ได้ ทำให้เข้าถึง Twitter ได้อย่างทุกที่และทุกเวลา

รู้จักกับ Vine อีกนิด

Vine (อ่านว่า ไวน์) เป็นสังคมออนไลน์ที่เกิดขึ้นมาภายในบริษัทเดียวกับ Twitter เกิดมาเพื่อตอบสนองความไม่เพียงพอต่อ 140 ตัวอักษร Vine จึงทำหน้าที่ช่วยถ่ายวีดีโอสั้นๆ ภายใน 6 วินาทีแล้วทำการแชร์ใน Twitter ได้ทันทีนั่นเอง เพราะภายใน 6 วินาที คุณสามารถเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างกระชับพอๆ กับการทวีต 140 ตัวอักษรนั่นเอง ซึ่งการใช้ Vine ในส่วนอัดวิดีโอจำเป็นต้องใช้งานผ่านแอป Vine บนมือถือก่อน แต่การดูคลิปนั้นสามารถดูผ่านแอปรือผ่านหน้าเว็บได้เลย

แล้วจะใช้ประโยชน์เจ้าสองตัวอย่างไร ?


ด้วยความที่มันเป็น Social Network แบบ real-time และมีฐานผู้ใช้อยู่มากมายทั่วโลก จึงไม่ยากที่ผู้ใช้อย่างเราๆ จะนำเสนอข้อมูลต่างๆ ให้กับสังคมได้ง่ายๆ ดังนี้
  • เปิดใช้งาน Location ในทวิตนั้นๆ : หลายๆ คนจะไม่รู้ว่าเราสามารถเปิด Location เพื่อบอกถึงตำแหน่งที่เราทวีตได้ ซึ่งทำได้ทั้งบนมือถือและเว็บไซต์ (แต่บนเว็บไซต์จะแสดงผลไม่ละเอียดเท่าไหร่) ยกตัวอย่างเช่น เจอเหตุการณ์รถชนกันแต่เราบอกไม่ถูกว่าอยู่ที่ไหน ก็ทำการเปิด Location ในมือถือพร้อมกับถ่ายภาพ และอย่าลืมบอกในทวีตว่า ที่อยู่ตาม Location หรือบอกที่อยู่ ณ ตอนนั้นก็ได้ว่าอยู่ตรงไหน จุดไหน ใกล้กับอะไร เพื่อจะได้ตามกันได้ง่ายและเป็นหลักฐานชั้นดีว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ณ ที่ตรงนี้

  • ถ่ายภาพเพื่อความน่าเชื่อถือขึ้นไปอีก :  อย่ามัวแต่จิ้มมือถือเวลาที่เจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด เพราะนอกจากจะเปิด Location แล้ว ถ้าจะเอาให้ละเอียดกว่านี้ก็ว่ารถชนจริงๆ นะเนี่ย ก็แนบภาพถ่ายเข้าไปด้วย จะถ่ายก่อนแล้วแนบทีหลังหรือถ่ายผ่านจากแอปก็มีค่าเท่ากัน แต่ถ้าจะให้ดีก็ถ่ายแบบทันทีผ่านแอปเลยจะดีกว่า ที่สำคัญ...
  • อย่าใส่ Filter ให้กับภาพโดยไม่จำเป็น : ไม่ต้องกลัวว่าภาพที่ถ่ายจะไม่สวย ข้อมูลข่าวสารต้องการภาพจริงๆ สถานที่เกิดเหตุจริงๆ ฉะนั้น อย่าใส่ Filter หรือปรับแต่งภาพใดๆ เลยจะดีกว่า เดี๋ยวพอสีเพี้ยนละจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดกันหมด
  • ใช้ Vine ในยามฉุกเฉิน : ถ้ามันไม่รีบร้อนจนเกินไป หรือคิดว่าภาพนิ่งมันจะไม่สะใจเท่าไหร่ ต้องแบบมีเสียงประกอบพร้อม ก็เปิดแอป Vine แล้วถ่ายวีดีโอ 6 วินาทีซะ แล้วอัพขึ้น Twitter ด้วยดีกว่า นอกจากจะช่วยให้น่าเชื่อถือและทำให้ข้อมูลมีมิติมากขึ้น มันอาจจะได้ช่วยในยามที่ไม่สะดวกพิมพ์ได้อีกด้วย แถมผู้ใช้บน Twitter ไม่ว่าจะผ่านหน้าเว็บหรือบนมือถือก็สามารถกดดูได้เลยโดยไม่ต้องเข้าแอป Vine ได้ทั้งภาพและเสียง ถ้าจะให้ดีก็ใส่ Location ไว้ด้วยนะ เช่น...

  • ติด Hashtag กับสถานการณ์ที่มีคนรายงานเยอะๆ : ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์สำคัญๆ แล้วเราไม่สามารถคัดกรองข้อมููลของเหตุการณ์นั้นๆ ได้ ระบบค้นหาใน Google ก็ไม่ช่วยให้สะดวกเท่าไหร่ ก็ให้ทำการใส่ Hashtag (#) เข้าไปในทวีตด้วย จะช่วยให้เราสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์นั้นๆ จากคนอื่นได้เร็วขึ้น เหมือนที่มีแท็ก #thaiflood ที่ช่วยรายงานน้ำท่วมในประเทศไทยนั่นเอง
  • อย่า Protect Account ถ้าจะรายงาน : เป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของผู้ใช้ทั่วๆ ไป ถึงแม้ว่าคุณจะใส่ Hashtag ไว้ก็ตาม แต่ถ้า Protect Account หรือล็อกไม่ให้คนอื่นกดตาม Follow มั่วๆ หากคุณรายงานข่าวอะไรก็ตาม คนที่เห็นจะมีแต่เพื่อนที่คุณอนุญาตให้เค้าตาม Follow พอเพื่อนจะกด RT กลับกดไม่ได้เพราะคุณล็อคทวิตไว้นั่นเอง ฉะนั้น หากจะรายงานเหตุการณ์อะไร ถอด Protect Account ก่อน พอคนเริ่มเบาๆ RT หรือจบรายงานก็ค่อยล็อกกลับดีกว่า
  • ร่วมด้วยช่วยกัน RT : หากมีเหตุการณ์ไหนควรจะให้คนอื่นรับทราบด้วยจากทวีตคนอื่น ก็จงกด RT กันโดยด่วน ซึ่งอย่างที่บอกไปข้างต้นว่าหากมี Location / ภาพ / วีดีโอ หรือหลักฐานที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ ก็กด RT ไปได้เลยเพื่อจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น หากทวีตมาลอยๆ หรือไม่มีที่มาก็พิจารณากันก่อนซักนิด เดี๋ยวจะปล่อยโคมกันสนุกสนาน

  • อย่าทวิตข้อความวกวนเวลาจะรายงาน : เวลาต้องการรายงานว่าที่ที่เราอยู่ ณ ตอนนี้เป็นอย่างไร ควรทวีตให้กระชับและคนอื่นอ่านสามารถเข้าใจได้ทันที เช่น “รังสิตฝนตกหนัก ขาเข้าเมืองรถติดมากตอนนี้ เลี่ยงได้จะดี” ไม่ต้องสนใจความสุภาพของข้อความแบบ “ที่รังสิตฝนตกหนักมากเลยครับผม ขาเข้าเมืองรถติดมากๆ เลยนะครับ พิจารณาเส้นทางใหม่จะดีมากๆ ครับ” คือแบบ.. ยาวไปมั้ยเนี่ย เป็นไปได้ก็ขอให้มันอ่านแล้วเข้าใจในทีเดียวคนอื่นก็จะ RT ให้เอง ที่สำคัญ หลีกเลี่ยงการใส่อารมณ์หรือ Emoticon เข้าไป เช่น “เจอรถคว่ำด้วยอ่า รถตรงนี้ติดโคตรๆ เลย T__T” เพราะนอกจากจะเปลืองตัวอักษร ทวีตของคุณก็จะไม่เป็นประโยชน์เลย ยิ่งไม่มีหลักฐานนี่ยิ่งไม่น่าเชื่อใหญ่ ฉะนั้น ทวีตข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก่อนซักหนึ่งทวีต แล้วอยากจะใส่อารมณ์ว่าฉันหงุดหงิดที่รถติดอันนี้ก็ตามสบายนะจ๊ะ

ทั้งหมดนี้ก็เป็นช่องทางในการรายงานข่าวผ่านทาง Twitter อย่างมีประโยชน์แก่สังคมเบื้องต้นนะฮะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกๆ คนที่ใช้ Twitter เผื่อเกิดเหตุการณ์ที่ต้องการรายงานให้คนอื่นทราบก็สามารถนำไปปรับใช้ได้ หรือใครมีเทคนิคอะไรอยากแนะนำก็คอมเมนท์กันไวได้เลยนะฮับ ^^
อ่า.. ได้ฤกษ์เขียนบล็อกเกี่ยวกับ Google+ ต่อจากนี้บล็อกผมจะมีซีรีย์ที่ชื่อ "มามะ Google+ รออยู่" ออกมาเรื่อยๆ จุดประสงค์จริงๆ คือ อยากให้ผู้ใช้คนไทยได้รู้จักกับ Google+ ให้มากกว่าเดิม รวมถึงอยากให้รู้จักวิธีใช้ที่จะทำให้คุณสนุกกับมัน คือผมว่าผมใช้แล้วมันก็โอเคนะ แต่พอคนเล่นน้อย มันก็ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่  อีกอย่าง อยากให้ผู้ใช้มีทางเลือกมากกว่า หลังๆ ดูแล้ว Facebook ก็เริ่มไม่โอเคเท่าไหร่ละในสายตาผมนะ ก็เลยมีซีรีย์ต่อไปนี้ออกมาแน่นอน


ก่อนที่เราจะไปรู้จักกับ Google+ ให้มากกว่าเดิม ผมขอนำเสนอเรื่องราวระหว่าง Facebook และ Google+ ว่าแตกต่างกันอย่างไรให้ได้อ่านกันก่อนละกัน เผื่อถ้าเริ่มชอบอกชอบใจอยากจะย้ายมาเล่น Google+ ก็จะได้ตามมาอ่านบล็อคตอนต่อไปได้อย่างสนุกสนาน

Google+ ไม่ใช่ป่าช้าแล้วนะเฟ้ย!!


อันว่า Google+ นั้นโดนข้อครหาเรื่องความเป็นป่าช้ามาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ซึ่งตอนนั้นก็ป่าช้าวัดดอนเรียกพี่จริงๆ พอช่วงปี 2012 ก็เกิดการพัฒนาตัวเองขึ้นมา(ซักที) ถึงกับปล่อยของออกมาไม่หยุดเลยทีเดียว เริ่มตั้งแต่ Communities ฟีเจอร์ที่ช่วยรวมกลุ่มคนที่มีความสนใจอะไรซักอย่างเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดผู้ใช้มากขึ้น ต่อมาก็พัฒนาส่วนค้นหาเพื่อนให้มีความง่ายและฉลาดมากๆ ซึ่งถ้าใครลองกรอกข้อมูลตัวเองเช่นเรื่องเรียนที่ไหน ทำงานยังไง มันก็จะไปลากตัวเพื่อนมหาวิทยาลัยที่เรารู้จักหรือแนะนำคนที่คิดว่าคุณน่าจะรู้จักมาให้ จากนั้น Google ก็โฆษณาและพัฒนาให้เข้ากับผลิตภัณฑ์ของเค้าอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น ในที่สุดก็เก็บตำแหน่งสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้มากที่สุด (ประมาณ 340 ล้านคน) เป็นอันดับ 2 ได้สำเร็จ!

ภาพจาก : ZDNet

แล้วอะไรคือข้อแตกต่างของ Facebook กับ Google+ หละ ?


ถ้าจะให้พูดง่ายๆ ก็คงจะ
  • Facebook จะเน้นไปที่เรื่องของเพื่อนที่เรารู้จักอยู่แล้ว รวมไปถึงคนที่คุณก็รู้จักดี
  • Google+ จะช่วยสร้าง connection ใหม่ๆ รวมถึงหาคนที่น่าสนใจและช่วยแสดงเนื้อหาที่เหมาะกับคุณ
ซึ่ง Facebook ไม่ได้ช่วยให้แสดง Content ใหม่ๆ ให้คุณ ในทางกลับกัน Google+ ก็ไม่สามารถค้นหาเพื่อนที่กำลังคุยกับคุณตอนนี้ได้นั่นเอง

แล้ว Google+ ทำงานยังไง ?


ใน Facebook ใช้คำว่าแอดเพื่อน แต่ใน Google+ จะมีลักษณะเหมือน Twitter นั่นคือการ Follow หรือ ติดตาม นั่นเอง แต่ที่ไม่เหมือน Twitter ก็คือ Circle ทำหน้าที่จัดการเพื่อนๆ เข้าด้วยกัน เดี๋ยวอันนี้จะอธิบายในตอนต่อไปละกัน ซึ่งจุดประสงค์ของการทำเป็น Circle ก็เพื่อจัดการ Content ของเราให้มีความเป้นส่วนตัวมากขึ้น เช่น อันไหนอยากให้ Circle ไหนเห็น ก็สามารถเลือกได้เลย แถมการทำ Circle ยังช่วยในการเลือกจะอ่าน Content ของคนใน Circle นั้นได้อย่างสะดวกสบาย เหมือน List ใน Facebook กับ Twitter นั่นเอง

Facebook Group มันยังจำเป็นอยู่นะ :\


แต่ Google+ ก็มี Communities มาให้ใช้เช่นกันครับ น่าจะดีกว่า Facebook Groups ด้วยนะ มันสามารถแยกหมวดหมู่โพสได้ ค้นหาได้รวดเร็ว ตั้งประเภทกลุ่มก็ได้เหมือนกัน ลองไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ สังคมของคนคิดเหมือน : Google+ Communities เลยฮะ พอดีผมเขียนแนะนำไว้นานละ ละเอียดยิบเลย

ภาพเปรียบเทียบระหว่างสาวที่ใช้ Google+ และ Facebook ฮ่าๆๆ (ภาพจาก ptkdev)

แล้วอะไรหละต่างจาก Facebook บ้าง


(ทำใจแบบนะ...ฮึ๊บ!) ใน Google+ มีฟีเจอร์อันมหาศาลไว้มากมายให้ลองเล่นกัน รวมไปถึงมีความน่าสนใจอย่างมากมาย ยกตัวอย่างเช่น  เรื่องภาพถ่ายที่อัพโหลดไฟล์ปกติหรือ raw ก็ได้, ทำ auto awesome ได้, เรื่องของ Google Hangouts, ส่วนแอพมือถือก็มีของเล่นอีกเพียบ (Location, Auto Backup), มี Mr.Jingle เป็นมาสคอต, ระบบ Page ที่ไม่ซับซ้อน บลาๆๆๆ โอ๊ยเยอะครับ ให้พูดในนี้ไม่หมด เดี๋ยวจะทยอยรีวิวไปเป็นส่วนๆ ละกันนะ (หลอกให้อ่านต่อไป อิอิ) ที่สำคัญ ตั้งแต่ใช้ Google+ มา ไม่เจอโฆษณาในนี้เลยซักตัวเดียว โล่ง โปร่ง สบาย~

ตารางเทียบฟีเจอร์ระหว่าง Facebook และ Google+


อันนี้เป็นการเทียบอย่างคร่าวๆ นะครับว่าทั้งสองอย่างต่างกันอย่างไร เพื่อประกอบการตัดสินใจ


จากนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นเดินทางเรียนรู้ Google+ กับผม ถึงจะไม่เชี่ยวชาญเป็นแฟนพันธุ์แท้ แต่ก็พอจะอธิบายให้ฟังได้บ้างแหละครับว่าอะไรเป็นอะไร (ขนาดใช้บ๊อยบ่อย ของบางอย่างก็ยังไม่เคยได้ใช้เลย -*-) ในตอนหน้าเดี๋ยวเราจะไปรู้จักกับ Google+ ให้ลึกกว่านี้ รวมถึงเรื่องของการใช้งานเบื้องต้นกันนะฮับ

ข้อมูล : Google Plus Daily
ลืมบอกกันไปเลยสินะว่าเรา... "เรียนจบแล้วโว้ยยยยยยยยย"


จบตั้งแต่วันเสาร์ที่ 18 มกราคม รวม 130 หน่วยกิต เกรดก็ตามนั้น เฮ้อ เสร็จสิ้นกันซักทีชีวิตในวัยเรียน นี่ลองคิดๆ ดูแล้วนะ ผมใช้เวลากับการเรียนน่าจะ 18 ปีได้ นับตั้งแต่อนุบาล 2 ลากยาวมาจนถึงมหาวิทยาลัย อยากเขียนขอบคุณครูบาอาจารย์ เพื่อนๆ เจ้าหน้าที่ พนักงานในโรงเรียนเอยหรือมหาวิทยาลัยเอยเป็นชื่อคงจะยาวมาก บางคนจำได้บ้างไม่ได้บ้าง เยอะแยะไปหมด

ตั้งแต่อยู่บ้านหลังจากส่งงานการเสร็จ มันรู้สึกเลยนะว่าอารมณ์เปลี่ยนๆ ไปเยอะ ทุกวันอยู่มอต้องทำงาน อยู่กับเพื่อน ทำโน่นนี่นั่น กลับมาบ้านก็ได้แต่กิน นอน เล่นกับหมาแมว จับเม้าส์จะทำงานแล้วก็ปิดโปรแกรมไป นอนดึก ตื่นเที่ยง เสพย์บันเทิง พูดง่ายว่า "ขี้เกียจแดก" เฮ้อ เพลียตัวเองสุดๆ ตอนนั้น คืออย่านึกว่าเราเป็นเด็กเกาะพ่อแม่กินนะ ก็ไปช่วยแม่ขายของบ้างไรบ้างแหละ ออกหางานแล้ว แต่ก็ไม่ได้บ้าง ไม่ถูกใจมาก (เรื่องมากเนอะ) สุดท้ายพี่เหมียว หัวหน้าทีมที่เคยฝึกงานอยู่ NECTEC ก็เลยโทรมาชวนให้กลับไปทำ Outsource 2 เดือน ค่าตอบแทนก็อู้หูอ้าหาเหมือนกัน ตอนโทรมาตอนนั้น มันดันเกิดความสับสนเยอะอยู่ ไหนจะที่พักที่ไม่อยากกลับมาหอกอล์ฟวิวบ้าง ม็อบบ้าง อะไรบ้าง ไหนจะค่าใช้จ่ายในการลงทุนแรกที่แม่ต้องจ่ายอีก เลยให้แม่ฟันธงเลยละกัน พอไปปรึกษากับแม่ คำพูดแม่ตอนนั้นเหมือนเห็นเราอยู่บ้านก็คงเบื่อ เลยบอกให้มาทำเลย ดีกว่าอยู่เฉยๆ ไปวันๆ วันต่อมาก็เลยโทรไปตอบตกลงพี่เค้าซะเลย ฉะนั้น ตอนนี้ เวลานี้ อยู่หอกอล์ฟวิวเหมือนเดิม ตึกเดิม ห้องเลขเปลี่ยนไปตัวเดียว (อืมนะ..) เลือกที่พักเดิมเพราะใกล้สุดละแล้วก็ถูกด้วย ส่วนที่ทำงานก็ที่เดิม ระยะเวลา 2 เดือน นั่นหมายความว่า ผมคือ มนุษย์วัยทำงาน Level.Novice เรียบร้อย ^^


ถ้าให้พูดตามช่วงวัย นี่ก็ 22 ละ น่าจะเป็นช่วงวัยรุ่นตอนปลายๆ แล้วมั้งนะ คือ 25 มันคงเริ่มหมดความเป็นวัยรุ่นแล้ว 26 ก็เริ่มอัพระดับเป็นผู้ใหญ่วัยแรกเริ่มประมาณนี้ ถามว่าทำงานมาสองวันรู้สึกยังไง ถ้าให้ตอบมันก็ยังบอกได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่ เพราะสถานที่นี้เราก็คุ้นชินมาแล้วตั้ง 4 เดือน แต่ต้องให้สนิทมากขึ้น ส่วนตอนทำงานมันทำงานได้เต็มที่เหมือนกันนะ ตอนเรามาฝึกงานมันยังติดเล่นโน่น ทวีตถี่ ไร้สาระไปวันๆ สุดท้ายก็หมดแต่ละวันไปอย่างน่าเสียดาย แต่สองวันที่ผ่านมามันไม่ใช่แฮะ เราทวีตไม่ถี่เท่าไหร่เมื่อมาเช็คดู แถมสมาธิตอนทำงานก็มีมากขึ้นหน่อยๆ ทำงานได้สบายขึ้นด้วย เพราะมันไม่มีอะไรต้องกังวลละ เพียงแต่ต้องทำหน้าที่ ณ ตอนนี้ให้เต็มที่และดีที่สุดและตามระยะเวลาให้ดีก็พอแค่นั้นเอง

ในวัยเรียนเรามักจะได้ยินเสมอว่า "เข้ามหาลัยเดี๋ยวก็อิสระแล้ว" พอเข้ามหาลัย "เดี๋ยวปี 4 ก็สบายแล้ว" พอขึ้นปี 4 "ทำงานก็สบายแล้ว" พอจบ.. สบายจริง แต่ไม่มีตังกินข้าวเอง อืม.. ก็ลองคิดดูละกัน มนุษย์เรามันไม่ได้สบายตลอดไปหรอก ยกเว้นแต่พวกหนูตกถังข้าวสารแค่นั้นแหละ ที่จะบอกสุดท้ายก็คือ ชัีวิตมนุษย์ไม่ได้สบายตลอดรอดฝั่งหรอกนะ มันต้องมีหนทางให้เราฝ่าไปเรื่อยๆ เหมือนเล่นเกมนั่นแหละ พอ Level แรกๆ ก็ง่ายๆ สบายๆ แต่ไม่มีอาวุธ ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย พอ Level ยิ่งมาก มันก็ยิ่งยาก ยิ่งเหนื่อย แต่พอผ่าน Level นั้นมาได้ สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ ค่าประสบการณ์มากมาย มิตรภาพดีๆ และความรู้ซึ่งเป็นอาวุธชั้นยอดที่หล่อหลอมให้เราแกร่งกล้าพอที่อยู่ในสังคมอันแสนโหดร้ายนี้ได้ ที่สำคัญ ถ้าเด็กๆ คนไหนโดนรุ่นพี่บอกว่า "...จะสบายแล้ว" ตอบกลับคนนั้นไปแล้วก็ยิ้มให้งามๆ ด้วยว่า "ตายแล้วนั่นแหละ ถึงจะสบาย :)" 

เสร็จเป็นรูปเป็นร่างเรียบร้อย ตอนแรกว่าจะเขียนอะไรเยอะแยะ ซักพักก็มานั่งนึกได้ว่า... ภาพมันก็เล่าเรื่องอยู่แล้วปะนาย ก็เลยจัดการเอามาทำเป็นเว็บที่ไม่ได้มีแบบแผนในการเขียนแต่อย่างใด แถมทำลวกมากๆ ดีนะมี Bootstrap ช่วย ไม่งั้นตายหองแน่ๆ ยังไงก็เข้าไปเล่น เข้าไปส่อง Year In Review ของผมได้เว็บด้านล่างเลยนะคร๊าบ ชอบไม่ชอบ เจออะไรไม่ถูกใจก็มาติชมกันได้ที่บล็อกนี้นะ เว็บนั้นไม่ได้แปะกล่องคอมเมนท์ไว้ ปีหน้าสัญญาว่าจะทำให้มันมีลูกเล่นมากขึ้นกว่าเดิมละกัน :3

http://2013.itsvee.in.th