บล็อกจับฉ่ายนายวีวี่คลุงซ์

"Because the story on your life never end."
Follow Me

ภาพยนต์เรื่องนี้อดที่จะไม่รีวิวไม่ได้จริงๆ เป็นหนังไทยที่ผมจัดให้ติดอยู่ใน Top 3 ของปีนี้เลยนะ (จากหนังไทยที่ดูมาหลายๆ เรื่อง) จริงๆ หนังเรื่องนี้โคตรจะโปรโมตเงียบมาก แต่กระแสของคนที่ไปดูรอบสื่อ บวกกับการที่หนังได้เข้าฉายและร่วมประกวดชิงรางวัลในเทศกาลหนังเบอร์ลิน ครั้งที่ 63 ที่ประเทศเยอรมัน และ เทศกาล ฮ่องกงฟิล์ม เฟสติวัล ทำให้ต้องมารีวิวเรื่อง "ตั้งวง" ซะเลย

มาร่วมกัน "ตั้งวง" เพื่อย้อนดูสังคมไทย

ตั้งวง เป็นภาพยนต์ที่กำกับโดยคงเดช จาตุรันต์รัศมี ผู้กำกับหนังดังหลายๆ เรื่องเช่น กอด, The Letter จดหมายรัก และ My.. Myself ขอให้รักจงเจริญ ซึ่งเค้าบอกว่าเรื่องนี้ คุณติ๊ก กัญญารัตน์ ดาราคนสวยเป็นผู้ช่วยกำกับบทหนังด้วย (อ่านที่นี่)


เนื้อเรื่องย่อๆ คือ เด็กนักเรียน 4 คนประกอบไปด้วยเด็กเก่ง เด็กเนิร์ด เด็กเกรียนและเด็กติ่งเกิดจับพลัดจับผลูไปบนกับพ่อปู่ว่า ถ้าคำขอของตัวเองเป็นจริง ก็จะแก้บนให้พ่อปู่ด้วยการ รำถวายด้วยตัวเอง จบครับ (ใช่ เนื้อเรื่องมียังงี้จริงๆ แต่...)

เราอาจจะมองจากโปสเตอร์ว่ามีเด็กตั้งวงรำ แถมชื่อหนังก็แค่เนี๊ยะ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย คงแค่เป็นเด็กมาแก้บนด้วยการรำแล้วก็ส่งเสริมวัฒนธรรม คิดผิดแล้วครับ หนังกำลังเล่นกับสิ่งที่สังคมไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้แบบเต็มเหนี่ยว ดูเรื่องนี้คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าตัวละครเด็กๆ ทั้ง 4 คนในเรื่องเป็นใคร หล่อมั้ย ไม่ต้องครับ ดูความเป็นธรรมชาติของพวกเค้าที่กำลังถ่ายทอดว่าสังคมในปัจจุบันนี้มันเป็นอย่างไรก็พอ


หนังไม่ได้ข้อคิดนะครับ แต่ให้คุณผู้ชมนั่นแหละได้กลับมาคิดว่า ที่เด็กต้องไปบนบานศาลกล่าวเนี่ยมันเกิดขึ้นจากอะไร ซึ่งนี่คือประเด็นหลักที่ผมคิดว่าน่าจะใช่ ส่วนอื่นๆ ที่มีแต่คำถามนั้น มันก็มีมากมายอีกครับ เช่น เอกลักษณ์ของความเป็นไทย ความวุ่นวายทางการเมือง และที่สำคัญหนังกัดได้เจ็บมากในเรื่องของการศึกษาและการเปรียบเทียบประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์


ต้องยอมรับว่าตอนออกจากโรงแล้วเผลอไปเทียบกับซีรีย์ฮอร์โมน แต่พอผมมานั่งคิดแล้ว หนังเรื่องนี้เค้าไม่ได้จะสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของวัยรุ่นแบบฮอร์โมน แต่เค้าสะท้อนสิ่งที่เป็นสังคมตั้งแต่สังคมครอบครัว สังคมโรงเรียน รวมไปถึงสังคมในระดับประเทศ ซึ่งตัวบทของหนังนั้นตอนแรกเหมือนจะดูย้อนแย้งกันอยู่มาก ทำให้เราต้องคอยตั้งข้อสงสัยตลอดว่า ทำไม ทำไม แต่พอจบปั๊บกลายเป็นว่าตัวละครตัวนั้นกลับมาถามคำถามใส่เราซะดื้อๆ ซึ่งคำถามที่ได้รับกลับมานั้นเหมือนกับการโดนไม้หน้าสามฟาดที่พุงจนจุกไปหนึ่งที (ไปตามอ่านแท็ก #ตั้งวง ใน Twitter ทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดว่าออกจากโรงแล้วเหมือนโดนผู้กำกับเอาไม้ฟาดหน้า)


ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสามารถทำเงินในประเทศได้มากน้อยแค่ไหน เพราะดูจากกระแสแล้วโดนลดโรงไปเยอะพอสมควร อยากให้โปรโมตมากกว่านี้ แต่ผมคิดว่าต้องอาศัยแรงปากต่อปากแล้วละ เพราะถ้าโปรโมตมากจะทำให้ไปดูเรื่องนี้ไม่สนุกแน่ๆ ก็เลยอยากให้คุณได้ไปชมภาพยนต์เรื่องนี้เพราะผมอยากให้คุณไปลองตั้งคำถาม ไปโดนคนถามคำถามใส่และผมอยากให้คุณไปดูว่าประเทศไทยตอนนี้พวกเราควร "ตั้งวง" เพื่อแก้ปัญหาให้กับเด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติแล้วหรือยัง :)

ปล ๑ : ตอนแรกก็นึกอยู่เหมือนกันว่าทำไมชื่อหนังว่า ตั้งวง แต่ตอนนี้พอจะอ๋อแล้ว หึหึ
ปล ๒ : ใครเป็นแฟนเพลง KPOP วง U-Kiss อาจจะได้มีกรี๊ดโรงแตกแน่ ฮ่าๆ
ยุคสมัยที่คนรถราเต็มเมืองซะขนาดนี้ ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าสังคมคนปั่นจักรยานจะอยู่ยั้งยืนยง หนังสือเล่มนี้ จะพาคุณไปรู้จักกับวิถีชีวิตของมนุษย์ที่ปั่นจักรยานในเมืองกรุงให้คุณได้รู้ทุกซอกทุกหลืบ กับหนังสือ SPIN! โดยนักเขียนการ์ตูนคนดังในโลก Social Network นามปากกาว่า ภูภู่ ( +phuphu phuphuphu )


ปั่น ปั่น ปั่นไปด้วยใจมุ่งมั่น!

หนังสือ SPIN! เป็นเรื่องราวของพี่ภูภู่ในการใช้ชีวิตเดินทางไปทำงานและไปสถานที่ต่างๆ ด้วยจักรยานในเมืองหลวงของประเทศไทย เริ่มต้นด้วยปัญหาว่าทำไมต้องปั่น ปั่นทำไม แล้วได้อะไร เจออะไรบ้าง สำนวนการเขียนนั้นถือว่าสนุกและน่าติดตาอยู่ครับ ตอนแรกก็คิดว่าพี่เค้าคงทำเป็นการ์ตูนแหงๆ แต่เปล่าเลย เหมือนนิยายแจ่มใสที่มีเนื้อเรื่องสลับกับการ์ตูน ซึ่งฮาทั้งสองแบบ การเล่าเรื่องจะเน้นประสบการณ์ปนมุกฮาๆ แทรกเข้าไป ส่วนการ์ตูนก็จะเน้นฮาไปเลย


ใครที่ยังไม่ได้ลองเปิดอ่านก็คงจะคิดว่าเป็นหนังสือเล่าเรื่องของคนปั่นจักรยานเฉยๆ แล้วก็รณรงค์ละมั้ง เปล่าเลยครับ SPIN! นั้นแนะนำท่านให้รู้จักเลือกจักรยาน การบำรุงรักษา การดูแลมันเมื่อต้องเอาไปจอดในสถานที่ที่อาจจะโดนขโมย รวมไปถึงเทคนิคการปั่นบนเมืองหลวงอย่างไรไม่ให้โดนเชี่ยวชนอีกด้วย (ฮา)


ตอนแรกก็ไม่คิดว่าพี่ภูภู่จะเล่าเรื่องออกมาได้สนุกมาก ช่วงไหนดราม่าก็ทำเอาเศร้าตามไปด้วยเลยโดยเฉพาะช่วงที่จักรยานของพี่ภูภู่หาย เราก็เอาใจช่วยอยากให้มันกลับมา (ส่วนกลับมาหรือไม่ ไม่สปอยด์ดีกว่า อิอิ)


หลังอ่านจบ : อยากกลับไปปั่นจักรยานมากถึงมากที่สุด ตอนเด็กไปเรียนก็จะปั่นจักรยานจากบ้านไปจอดไว้ที่หน้าปากซอยแล้วต่อรถไป พอขึ้นม.ปลายมันเป็นเรื่องปกติของเด็กวัยกำลังโตว่า ปั่นจักรยานแม่งเชยวะ อายเพื่อน อายคนอื่นชะมัด แล้วก็เห็นเพื่อนอีกคนก็ขับมอไซต์ตัดหน้าไป เคยคิดจะขอที่บ้านขับมอไซต์ไป แต่ก็อดตามเคย ด้วยอะไรหลายๆ อย่างนั่นแหละ แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยก็กลับมาปั่นบ้างไม่ปั่นบ้างจากหอไปคณะหรือไปที่อื่นๆ จักรยานก็ยืมของคุณ +Phachara Ditsara (กราบขอบพระคุณที่ให้ยืมจักรยานมาปั่นเล่นตอนอยู่ม.มา ณ ที่นี้นะครับ) ซึ่งพอเราโตแล้วเราก็คิดเสมอว่า ปั่นจักรยานมันสนุกนะ ได้ปั่นไปเจอบรรยากาศใหม่ๆ ยกขึ้นฟุตบาท หรือปั่นข้ามตึกโดยที่มอไซต์ทำไม่ได้ แล้วไม่รู้สึกว่ามันเชยเลยแม้แต่นอน แถมได้เยอะเย้ยพวกรถติดหรือพวกที่มาสายอีกตะหาก (แอบเลว ฮ่าๆ) ทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันถูกกลั่นออกมาจากความรู้สึกเมื่ออ่าน SPIN! จบ ผมรู้สึกว่าถ้าต้องทำงานในกรุงเทพจริงๆ ผมก็จะปั่นจักรยาน หรือเดินเอาดีกว่า ประหยัดเงิน ได้ออกกำลังแถมไม่ต้องเจอการจราจรที่มันน่าปวดหัวด้วย


หากกำลังหาแรงบันดาลใจในการปั่นจักรยานหรืออยากรู้ว่าคนเมืองเค้าปั่นจักรยานอย่างไร SPIN! เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ผู้เขียนกลั่นเรื่องราวจากประสบการณ์จริงมาอธิบายให้ผู้อ่านได้เข้าใจกันอย่างสนุกสนานของแท้ ไม่ใช่แค่ได้เรื่องการปั่นจักรยาน แต่คุณยังได้ข้อคิดจากการปั่นให้ชีวิตคุณได้เดินหน้าต่อไปอย่างมีความสุขอีกด้วยครับ


หนังสือ : SPIN!
ผู้เขียน : ภูภู่
สำนักพิมพ์ : a book
ปีที่พิมพ์ : 25556
อยู่ๆ ก็มาหวนคำนึงถึงรายการ Reality ชื่อดังสมัยพระเจ้าเหา (ปี 2548) อย่าง Big Brother Thailand เป็นรายการ Reality ที่แหวกแนวและนำร่องรายการ Reality ทุกประเภทเลยก็ว่าได้ รูปแบบรายการจะนำผู้เข้าแข่งขัน 12 คนมาอยู่ในบ้านหลังหนึ่งร่วมกัน 100 วัน ไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอก แล้วก็ให้ผู้ชมจับตาดูพฤติกรรมของคนในบ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง (เหมือนกับ AF นั่นแหละ แต่ไม่มีประกวดร้องเพลงแค่นั้นเอง) ทีนี้ถ้าจับเอามาอยู่ด้วยกันเฉยๆ มันก็น่าเบื่อไป เค้าก็เลยจะมีภารกิจให้ทำทุกสัปดาห์ ถ้าภารกิจสำเร็จก็ได้รางวัลพิเศษไป ถ้าไม่สำเร็จก็โดนลงโทษ (กลายๆ ว่าพวกแกต้องทำให้สำเร็จนะเฟ้ย) แล้วก็จะมีเสียงลึกลับที่รายการเรียกว่า Big Brother ทำหน้าที่ติดต่อกับคนในบ้านทั้งหมด ส่วนวิธีการออกจากบ้านก็คือคนในบ้านจะเข้าห้องเปิดใจเพื่อโหวตก่อนว่า อยากให้ใคร 2 คนออกจากบ้าน พอได้คะแนนมาก็จะให้ผู้ชมได้โหวตว่าระหว่าง 2 คนนี้ อยากให้ใครอยู่ต่อ พอเหลือสามคนสุดท้ายก็โหวตหาคนชนะใจผู้ชม ก็ได้รางวัลอันมหาศาลไป (เยอะจริงๆ นะสมัยนั้น ทั้งวเงิน ทั้งบ้าน ทั้งรถ) โดยการถ่ายทอดสด 24 ชั่วโมงตอนนั้นจะฉายอยู่ที่ช่องของ UBC (หรือ True Visions สมัยนี้) และในเว็บไซต์ของเค้ารวมถึงสปอนเซอร์สองเว็บน่าจะได้ ส่วนตอนประกาศผล ก็จะไปเล่นที่ช่อง ITV ถ่ายทอดสดหนึ่งชั่วโมงเหมือนกัน ซึ่งเป็นผลพลอยได้ของ ITV เลยที่จะนำเสนอข่าวหรือมีความเคลื่อนไหวอะไรก็ตาม ITV ก็จะรายงานออกมาจากรายการข่าวเลย คือมันดังมานะในสมัยนั้น ทั้งหมดทั้งมวลนี่คือเวอร์ชั่นของไทย ยังถือว่าเบบี๋ๆ นะครับ


ตอนนั้นยอมรับว่าติ๊งติ่งรายการนี้มาก มันจะมีหนังสือออกมาขายด้วย แบบรวมประวัติของผู้เข้าแข่งขันเราก็ซื้อมาอ่านๆๆๆ พอเบื่อก็ให้เพื่อนเอาไปขีดๆ เขียนๆ เล่น (ฮ่าๆๆ) แล้วพอดีสัญญาณเคเบิ้ลแถวบ้านมันดันติดที่บ้านซะงั้น ก็เลยได้ดูแบบถ่ายทอดสด 24 ชั่วโมงเกือบทุกวัน แต่บอกตรงๆ นะ ไม่เคยโหวตให้ใครซักครั้ง เพราะกลัวพ่อกับแม่ด่า ตอนนั้นยังไม่มีมือถือ (ถึงจะมีโทรศัพท์บ้านที่กด 1900 ได้ก็เถอะ) อีกอย่างที่ไม่โหวตเพราะไม่เชียร์ใครคนใดคนหนึ่งเลยตอนนั้น


ถ้าหากได้ไปดูเวอร์ชั่นของต่างประเทศ รวมถึงเจ้าของลิขสิทธิ์อย่างประเทศเนเธอแลนด์ เค้าจะเน้นการใช้ชีวิตของเค้าแท้ๆ เลย คือถ้าพวกแกจะมีชิกกะหล่ำปัมปั้มกันในบ้านก็ไม่ว่า ข้าก็มีถุงยางไว้บริการด้วย อารมณ์ว่าถ้าไม่แคร์ผู้ชมนอกบ้านก็จัดฉากให้ดูกันโจ๋งครึ้มเลย (แต่เห็นเค้าว่าไอ้ฉากพวก 18+ นี้ต้องเสียเงินเพิ่มดูในเน็ตนะ คือเค้าจะมีอะไรกันได้ก็เฉพาะห้องนี้เท่านั้น) ห้องอาบน้ำก็คือเห็นหมด สัดส่วนเป็นยังไง บึ้มมั้ย บลาๆๆๆ (ผมก็ไม่เคยดูนะ แต่เค้าว่ามาแบบนี้ ฮ่าๆ ไม่เชื่อจิ้มที่นี่) ทีนี้จากการจำได้คร่าวๆ คือมันจะมีกล้องประมาณ 30 ตัวอยู่ในบ้าน แล้วมันต้องติดในห้องน้ำด้วย ลิขสิทธิ์แท้มันต้องติดกล้องให้เห็นคนอาบน้ำเลยทั้งตัว แต่อย่างว่าพอมาไทยทีมงานไทยกับเจ้าของลิสิทธิ์ก็เถียงกันอยู่ จนสุดท้ายเค้าก็เลยยอมกันว่า ขอให้เห็นประตูห้องน้ำก็พอละกัน ส่วนมุมที่ไม่ให้จะให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอง


ในประเทศไทยเล่นไปได้ 2 ซีซั่นก็ไม่ทำต่อ เพราะจากที่รู้มาจากกลุ่มคนชอบรายการนี้และจากวงในของต้นสังกัดเค้าบอกว่าแรงกดดันของไทยนั่นแหละที่ทำให้เค้าต้องยุติลง เหตุเพราะรับไมไ่ด้กับการนำคนมากักขังหน่วงเหนี่ยวบ้างแหละ (ทั้งๆ ที่ผู้เล่นเค้าก็เต็มใจ) เพราะผู้เข้าแข่งขันชายหญิงนอนเตียงเดียวกันบ้างแหละ (ก็มันไม่ใช่หนังนี่เฟ้ย) กลัวเด็กมาดูผู้หญิงแต่งตัวแบบนี้หรือมาเจาะหูเจาะตาแบบนี้แล้วจะเลียนแบบจังเลย (ยอมรับว่าตอนนั้นผมก็เด็กนะที่ดูรายการนี้ แต่ทำไมไม่เห็นจะทำตามเลย) นั่นแหละครับ ทางกันตนาเจ้าของลิขสิทธิ์ก็เลยปิดฉากรายการนี้ลงไป ทั้งๆ ที่กันตนาโคตรลงทุนกับรายการนี้มาก ไปสร้างบ้านหลังนี้ไว้ที่กันตนา มูฟวี่ทาวน์ที่ศาลายาเลย ไม่รู้ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นซากไปหรือยัง


คืออยากให้รายการนี้มันกลับมานะ มันไม่ใช่รายการไร้สาระอะไรขนาดนั้นซักหน่อย จากวิกิพีเดียบอกว่า คณะที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในมหาวิทยาลัยของไทยหลายๆ ที่ก็นำรายการนี้มาทำวิจัยเรื่องพฤติกรรมของมนุษย์ในแวดล้อมบังคับเลยนะ เพราะคนที่เข้ามาในรายการทั้ง 12 คนเค้าไม่รู้จักกัน แน่นอนว่านิสัยของแต่ละคนมันก็ต่างกันด้วย คนดูเลยจะรู้สึกสนุกกับการดูคนเหล่านี้ปรับตัวเข้าหากัน ส่วนผู้เข้าแข่งขันก็จะได้รู้ถึงพฤติกรรมของตัวเองด้วยว่าเป็นคนยังไง ส่วนของเมืองนอกหลังๆ ก็เริ่มแผ่วไปแล้ว เพราะมีรายการอื่นที่สนุกกว่ามากมาย คือถ้านับจากวันที่ลิขสิทธิ์เริ่มเล่นซีซั่นแรกจนถึงตอนนี้ก็รวมๆ 12-13 ซีซั่นแล้วแหละ เฮ้อ อยากเห็นรายการแบบนี้กลับมาอีกนะ อยากรู้ว่าถ้าจับคนในสภาฯ เอ๊ย จับคนที่ความเห็นต่างกันโดยสิ้นเชิงอย่างสมัยนี้มาเล่นรายการนี้ มันจะเป็นอย่างไรกันแน่ อย่างน้อยๆ ผมว่ามันก็เป็นกระจกอย่างดีที่ช่วยสะท้อนให้เห็นสังคมไทยในปัจจุบันที่เล่นละครใส่หน้ากากกันอยู่แบบนี้แหละ แต่ก็ลืมไปอีก เอามาเล่ยสมัยนี้คงจืดน่าดูแน่ๆ เซนเซอร์ตรงโน้น อันนี้ห้ามนะ ใส่สั้นไม่ได้ ห้ามกอดกันออกอากาศ เจ๊เบียบกับกระทรวงวัฒนธรรมคงออกมาแว๊ดๆๆ แน่นอน เฮ้อ ดู AF ต่อไปละกันนะพี่น้องชาวไทย - -

ปล. ขอบคุณภาพจากเว็บคุณน้ำตาลนะค๊าบ ทำให้ผมได้มารำลึกถึงช่วงนั้นหมดเลย แง
ปร. อยากรู้เรื่องอื่นเพิ่มเติมก็ขอเชิญอ.กู(เกิ้ล)หรือทวิตมาถามผมหรือเม้นท์ไว้ด้านล่างนี้ได้นะ (ถ้าผมยังจำได้อยู่ 555)
เป็นธรรมเนียมของเด็กฝึกงานที่ต้องมาเขียนบล็อกเพื่อบอกถึงประสบการณ์ชีวิตในการฝึกงาน จริงๆ มันน่าจะมี EP 0 ก่อนซะด้วยซ้ำ แต่ไม่ทันละ เพราะนี่ก็ทำงานมาครบอาทิตย์พอดี งั้นก็ขอรวบยอดเป็น เกริ่นนำและสัปดาห์ที่ 1 ไปทีเดียวเลยละกันนะครับ

เกริ่นนำ

ผมเลือกมาฝึกงานอยู่ที่ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ NECTEC ซึ่งอยู่ในส่วนของห้องปฏิบัติการวิจัยสื่อประสม (DMI) ที่จังหวัดปทุมธานี ครับ เหตุผลเพียงเพราะ มันอยู่ชายขอบความเป็นคนเมืองและอยากลองทำงานใน Lab ของราชการว่าเค้าทำงานกันอย่างไร เพราะชื่อ NECTEC นี่เลื่องชื่อลือชามานาน โดยต้องขอบพระคุณพี่ +Sitdhibong Laokok มา ณ ที่นี้นะครับ ที่ช่วยประสานงานเรื่องการฝึกงานให้ผม :D

สัปดาห์ที่ 1

  • วันแรกของการทำงานก็โชคดีเลย ออกมาดูงานนอกสถานที่ที่จัตุรัสวิทยาศาสตร์ (จามจุรีสแควร์) แถมหัวหน้าแลปเลี้ยงข้าวด้วย เฮ วันนั้นทั้งวันเลยรับขอบเขตของงานที่ทำมาแบบงูๆ ปลาๆ
  • วันที่สองพี่เลี้ยงไม่มาแลปครับ วันนั้นยอมรับว่าอู้ช่วงเช้ามาก แอบงีบไปครึ่งชั่วโมง ขอโทษค๊าบ -/\-
  • วันที่สามกับสี่ก็พยายามรวบรวมข้อมูลที่จะใช้ในการทำโปรเจค ยังขอไม่พูดถึงโปรเจคที่จะทำนะครับ พอดีมันยังไม่ละเอียดพอที่จะอธิบาย
  • วันที่ห้า มีเด็กฝึกงานจากต่างประเทศญี่ปุ่นชื่อ นานามิจัง ซึ่งอายุ 23 ปี เป็นพี่เราเลยแหละ ตอนแรกก็เกร็งๆ ว่าจะคุยกับเค้ารู้เรื่องมั้ย คือไอ้เรื่องภาษาอังกฤษผมก็ง่อยพอตัวแล้ว เค้าก็พอพูดได้ ขนาดผมถามเค้าว่า "ฮาว โอล อาร์ ยู ?" คำว่า โอล มันคงเป็นอุปสรรค เค้าตอบกลับมาว่า "ไอ แอม ไฟน์" ผมก็ถามซ้ำไปอีกรอบด้วยสำเนียงเดิม เค้าก็ยังทวนคำตอบเดิม พอสะกดคำว่า โอล (old) ให้เค้าฟัง เค้าถึงอ๋อว่าถามอายุ - -" ช่วงเดินกลับตึกก็เลยงัดไม้ตายที่มีเลย ผมบอกเค้าว่า "I like Perfume J-Pop very much" ตอนแรกเค้าก็ก่งก้งไปซักแปบ พอบอกว่าวง Perfume อะ โอ้โห่ เจ๊นานามิจัดเต็มเลย ชวนผมคุยไม่หยุด ถามหมดว่าชอบเพลงไหน ร้องได้หรือเปล่า เต้นได้มั้ย วันนั้นก็ทำให้พอสนิทกับพี่นานามิได้มากขึ้น อ้อ ผมได้สอนภาษาไทยให้เค้าไปด้วยนะ คำว่า "พี่สาว" เพราะเค้าคือพี่ไง ฮ่าๆ
  • เมื่อวันที่สองถึงสี่นี่กะเวลาตื่นผิดไปเยอะ คือผมก็ตื่น 7 โมงเช้าเสทอนะ ไม่เคยเกิน 5 นาที อาบน้ำก็ 20 นาที แต่งตัวเก็บของอีก 10-15 นาที แล้วการที่เยื้องย่างจากหอผมซึ่งอยู่ท้ายมากไปตรงที่รอรถตู้ฟรีที่มันจรับส่งจากหอผมไปตรงปากซอยก็อีก 10-15 นาทีแล้วก็เดินข้ามสะพานมารอรถสองแถวหรือรถรางของมออีก 5 นาที เบ็ดเสร็จสุดท้าย กว่าจะไปถึงหน้าสวทช. ผมก็ได้ยืนเคารพธงชาติมันทุกวัน มันคือการเคารพธงชาติในรอบ 4 ปีเลยก็ว่าได้
  • แอบแซะเรื่องหอที่อยู่นิดนึง หอ Golf View ข้างม.ธรรมศาสตร์ฝั่งประตูเชียงราก คือหอที่นี่เค้าทำเป็นเหมือนเมืองใหม่อะครับ ก็จะมีผู้รับเหมาเจ้าเดียวเลยจัดการดูแล การเดินทางต้องนั่งรถตู้หรือรถอะไรก็ได้เข้ามา เพราะทางที่เข้ามามันเป็นทางชุมชนแคบๆ ลึกประมาณ 1 กิโลเมตรจากปากซอย พอเข้ามามันดูว้าวมาก คือเหมือนเมืองใหม่จริงๆ ทีนี้เรื่องมันมีอยู่ว่า หอนี้เค้าร่ำรือว่าน้ำไม่ไหล ไฟดับแบบไม่ชอบบอก คือนึกจะไม่ไหลก็ไม่ไหลหรือไฟดับก็ดับเลย วันที่สองโดนเลยจ๊ะ ตื่นเช้าอย่างปกติแปรงฟันเสร็จ พอจะอาบน้ำ อ้าว ทำไมมันไหลๆๆๆแล้วก็...หยุด เอาละสิ มันเล่นกูแล้ว พอโทรไปหาช่างซ่อม ก็ไม่รับโทรศัพท์ เข้าใจว่าทุกคนในหอกำลังกระหน่ำโทรไปแน่ๆ แล้วดูนาฬิกาคือสายแล้วกู นาทีนั้นตัดสินใจเอาน้ำกินที่มีอยู่ 2 ขวด มาอาบน้ำเลย เพราะมันไม่ทันแล้ว พอจัดการตัวเองเสร็จ กำลังจะเช็ค Line แล้ว Wifi หอมันก็หายไป (Wifi ของหอจะให้แค่ 2 Mb ต่อ 1 User แล้วใช้ได้แค่เครื่องเดียว ความเร็วจะขึ้นอยู่กับผู้ใช้มากน้อย ในฐานะคนต้องใช้เน็ทเร็วๆ นี่แบบ...) ก็เลยเดินออกมานอกห้อง พอดูลิฟต์ปั๊บ ไฟดับจ้า พวกชั้น 8 คือซวยเลย แล้วก็ไปหาอะไรกินที่ทำงานละกัน สรุป วันนั้นก็สายไป 10 นาทีเลย แล้วก็ถามเพื่อนอีกหอนึงว่ามันเป็นมั้ย น้ำไม่ไหลไฟดับ มันก็บอกว่าไม่เป็น เราก็เอ๊ะเลยสิ ทำไมเราเป็นมันไม่เป็น ก็เลยได้รู้ว่า เค้าซ่อมท่อมประปา แล้วเวลาตัดน้ำก็จะตัดทีละหอ เพื่อจะได้ซ่อมได้สะดวกๆ ส่วนไฟที่ดับเมื่อเช้า อันนั้นไม่รู้ เฮ้อ - -"

  • ขอเมา้ท์มอยเรื่องห้อง Lab หน่อยนึง ที่ห้องนั้นมันจะขายขนมกับน้ำด้วย ราคานี่ใครๆ เห็นแล้วก็ตาลุกวาว คือไม่ต้องเดินไป 7-11 แต่ห้องนี้มีของว่างที่ซัพพอร์ทคุณได้ทั้งวัน การซื้อขายนี่ก็อาศัยความซื่อสัตย์สุดๆ จะซื้ออะไรก็เอาเงินหย่อนใส่กระปุก แล้วก็หยิบขนมกับน้ำไปได้เลย พี่ตั้วของผมถึงกับบอกว่า 'ไม่มีเด็กฝึกงานคนไหน จบไปแล้วน้ำหนักไม่ขึ้นหรอก' เอาสิ เดี๋ยววีรยุทธจะเป็นแรกที่ล้มความคิดนี้! อิอิ

  • ส่วนเรื่องการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ก็เป็นเรื่องปกติของผมไปละ แต่ก็ยังไม่ชินเท่าไหร่นะ เพราะปกติไปไหนมาไหนก็คร่อมมอไซต์แล้วก็แว้นไปเลย แต่นี่ขนาดนั่งรถจากธรรมศาสตร์ไปฟิวเจอร์ปาร์คยังกับนั่งรถข้ามจังหวัด โฮ

ตอนแรกก็ไม่เชื่อหรอกนะว่าพอเป็นคนทำงานแล้วร่างกายมันจะงอแงเวลาถึงที่พัก ตอนนี้เชื่อละ หลับเป็นตายมาก ง่วงเร็วมาก ก็ดีแล้วละ อยากนอนให้เต็มี่เหมือนกัน ส่วนเรื่องการปรับตัวตอนนี้โอเคแล้วครับ เหลือแค่การจัดสรรเวลาและการปรับตัวในการทำงานแค่นั้นเอง อาทิตย์ที่ 1 ก็จบด้วยประการละฉะนี้~ *ปิดวิก*
เลยวันแม่มานานแสนนาน ปกติทุกปีผมจะส่งไปรษณียบัตรให้แม่ตลอด มีปีนี้ที่เจอสถานการณ์งานรุมจนไม่มีเวลาส่งให้แม่จนได้ แต่ก็คิดว่าย้ายที่ทำงานก็จะส่งให้แม่เหมือนเดิม ทีนี้ขอเล่าสั้นๆ ก่อนว่า แม่คุยว่าอยากได้มือถือใหม่มานานแล้วเพราะอีเครื่องเก่ามันก็เริ่มแย่ (ย้อนไปอ่านได้ที่ จับผิดมือถือจีน ) แล้วหลังๆ ท่านก็เริ่มติดทั้ง Facebook ทั้ง Line (ฮา) แม่โทรมาบอกว่าสนใจเจ้า Acer Liquid Z3 ที่ AIS มากๆ เห็นมีโปรโน่นนี่นั่น เราก็ว่าเออดีเหมือนกัน ถูกแถมสเปคแรง แต่หน้าจอมันก็เล็กไปหน่อย เมื่อวานก็เลยไปซื้อกับแม่ แล้วปรากฏว่าคนที่ AIS Shop เยอะมากกก ไปถามที่ Telewiz ก็ไม่มีเลย เครื่องหมดเกลี้ยง แม่ไม่รอก็เลยถอดใจไม่เอาแล้ว วันนี้เป็นอันดีเลยแอบแม่ไปซื้อมาให้เป็นของขวัญวันแม่ซะเลย อิอิ โอเคแพล่มมานาน ไปดูกันว่ารีวิวลวกๆ ของผมในแง่ของผู้ใช้วัย 50 อัพจะเป็นยังไง

Acer Liquid Z3 

สำหรับเรื่องสเปค ถ้าพูดคร่าวๆ ผมว่ามันโคตรแรงเลยนะในราคาเบาๆ แค่ 2,590 บาท แถมใส่ได้ตั้ง 2 ซิม ใส่ SD Card เพิ่มได้อีกตะหาก! หน้าจอมีขนาด 3.5 นิ้ว (สำหรับผมเล็กโคตร! สำหรับแม่บอกกำลังดี แต่ตัวเล็กไปนิด) ให้ Android 4.2.2 Jelly Bean มาติดเครื่องเร็วปรู๊ดปร๊าด กล้องหลัง 3 ล้านพิกเซล ไม่มีกล้องหน้า แต่มี LED Notification ทดลองโทรเข้าออกเสียงใช้ได้เลยครับ  สำหรับสิ่งที่ AIS ให้มาก็จะมีที่ชาร์ท (เป็นหัวชาร์ท+สาย) Cover ปิดหน้าจอซึ่งติดกับเครื่องเลยแกะไม่ได้ (แม่ชอบ ผมไม่ชอบ) ซิม AIS 3G แบบเติมเงิน หรือ 12Call นั่นเอง ละก็ขาดไม่ได้ ตัวเครื่อง Acer Liquid Z3 นั่นเอง (ไม่มี SmallTalk และไม่ติดกันรอยมาให้นะจ๊ะ)


เล่าถึงการซื้อเครื่องกับ AIS ก่อนละกัน คุณสามารถซื้อเครื่องเปล่าได้เลยนะครับ ไม่ต้องติดโปร ติดซิม ติดค่าย ราคาเครื่องคือ 2,590 บาทอย่างที่บอกไว้ข้างต้น ไปถึงก็บอกเค้าเลยว่าซื้อเครื่อง Acer นี่แหละ เอาเข้าจริงถ้าซื้อร้านตู้ก็ได้นะครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าราคาจะลดลงมาอีกมั้ย แต่เชื่อว่าซื้อกับ AIS ก็น่าจะสบายใจแถมมีโปรโมชั่นให้ด้วย นั่นคือโปร iSmart จะลดเหลือ 50% อันนี้ก็แนะนำให้อ่านเพิ่มเติมที่นี่นะครับ




ภายในเครื่องก็เป็น Android จ๋าๆ มาเลย แล้วก็มีแอพของ AIS ที่ลงมาให้พร้อม ที่สำคัญมีแอพตัวนึงที่น่าจะโดนใจพ่อแม่แน่นอน เป็นแอพที่ใช้ตั้งค่าหน้าจอของมือถือครับ คือมันสามารถเลือกได้ 4 แบบ ดังนี้


โหมดพื้นฐาน - หน้าจอก็ล็อคแค่เบอร์โทรคนสำคัญแล้วก็ใช้ส่ง sms ได้แค่นั้น โทรไปเบอร์อื่นไม่ได้เหมาะสำหรับเด็กๆ ใช้


โหมดขั้นสูง - ก็จะมีแอพเสริมสำหรับผู้สูงอายุขึ้นมานอกนั้นก็จะเหมือนกับของเด็ก อ้อโทรออกได้ด้วย


โหมดแป้นพิมพ์ - อันนี้ก็เหมาะกับคนที่เพิ่งเปลี่ยนมาใช้แบบจอสัมผัสครับ แต่ก็ยังมี Nunpad ขึ้นมา คือกดเบอร์โทรออกได้เลย ไม่ต้องเข้าแอพโทร แล้วก็มีเมนูรวมของแอพต่างๆ ให้กดเข้าไปได้


โหมดคลาสสิก - โหมดนี้ก็เหมือนเราใช้ Theme แบบที่เค้าแยกแอพให้เราไว้แล้ว อันนี้จะเหมาะกับผู้ที่อยากใช้งานแบบง่ายๆ สบายๆ


สำหรับโหมดพื้นฐานกับโหมดขั้นสูงจะมีการล็อคพิน หมายถึงว่าการใช้แอพนี้ครั้งแรก มันจะให้เราตั้ง Pin 4 หลักครับ ก็ตั้งไป ทีนี้ถ้าเราให้ลูกหลานหรือผู้ใหญ่ใช้โหมดใดโหมดหนึ่งที่บอกไป แล้วเกิดเข้าการตั้งค่า มันก็จะถาม Pin ที่เราตั้งไว้ตั้งแต่แรก ทีนี้เค้าก็จะไม่สามารถตั้งค่าอะไรได้นั่นเอง

มาดูที่กล้องกันดีกว่า น่าจะเป็นขวัญใจของแม่ๆ ทั้งหลายที่ชอบถ่ายภาพ กล้องที่ติดมาให้คือ 3 ล้านพิกเซล กำลังดีเลยแหละในราคานี้ ทีนี้ลองถ่ายดู ก็ได้ภาพตามด้านล่างเลยครับ ถ้าถ่ายด้วยมุมปกติถือว่าชัดอยู่นะ แต่พอซูม 2.0 และ 4.0 เท่านั้นแหละ แตกเลย ฮ่าๆ ปกติๆ

ภาพปกติ

ภาพซูม 2.0

ภาพซูม 4.0

โอเคครับ ก็ถือว่ารีวิวแบบลวกๆ ละกัน เพราะถ้าเอาให้ละเอียดกว่านี้ก็ต้องรอให้แม่ใช้ไปนานๆ ก่อน แต่โดยรวมก็ถือว่าถ้าซื้อให้ผู้ใหญ่ใช้หรือให้เด็กช่วงวัยมัธยมใช้ โอเคสุดๆ แต่ถ้ามีเงินเดือนกินเองแล้วหาตัวท๊อปๆ เล่นดีกว่าครับ ฮ่าๆๆ
อาทิตย์ก่อนได้ไปตะลอนในกรุงเทพฯ อีกแล้วครับ รอบนี้ก็ไปที่โฮสเทลเช่นเคย คราวนี้มีอยู่ที่นึงครัว คือเล็งไว้ก่อนที่จะไปนอนที่ หลับดีโฮสเทล ซะอีก นั่นคือ CheQinn Hostel (เช็คอิน โฮสเทล) สุขุมวิท 4 นานา ครับ


สำหรับ CheQinn Hostel นั้น ตั้งอยู่ในซอยบนถนนสุขุมวิท 4 นานา ครับ เดินทางไม่ยาก ทางเข้าที่นี่จากปากซอยตอนกลางวันนี่ดูเงียบสงบหน่อยๆ แต่ถ้าตกกลางคืนเมื่อไหร่ ฝรั่งเอย สาวไทย(นั่นแหละ)เอย เดินกันให้ขวักไขว่ ขอทาน ร้านอาหาร บลาๆๆ จัดเต็มมาก เอาละ ข้ามช็อทนั้นไป




ที่เช็คอินจะเป็นเหมือนตึกแถวครับ อยู่ในซอยเล็กๆ เดินจาก BTS นานาไม่ไกลมาก หาทางเข้าสุขุมวิทซอย 4 แล้วเดินตรงเข้ามาเลย (หน้าซอยจะมีปั้มที่มี Mc และ 7-11) พอเดินเข้ามาให้มองหา 7-11 ขวามือแรก ถ้าเจอแล้วเยื้องๆ กันจะมีซอยเล็กๆ เดินเข้าซอยนั้นแล้วเดินสุดซอยก็จะเจอเลยครับ



ส่วนห้องนั้นที่นี่จะแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ Sleepover, Joy และ BKK ห้อง Joy จะเหมือนกับ Sleepover แต่จะมี 6 เตียง ส่วน BKK จะเป็นห้องพักแบบ Private แพงกว่าแต่สิ่งอำนวยความสะดวกเยอะมาก ห้องที่ผมพักจะเป็นแบบ Sleepover ครับ ห้องนี้จะมีเตียง 2 ชั้น 4 เตียง (รวมเป็น 8) แต่ละเตียงจะมีที่เขียนหนังสือ ปลั๊กไฟ 1 รูและสวิทซ์ไฟ ส่วนแอร์ภายในห้องจะมี 2 ตัวครับ เลือกปรับเองได้ ช่องเก็บของจะเป็นแบบลิ้นชักกว้าง เก็บของได้เยอะ มีกระจกตรงระเบียงให้สามารถมองออกไปชมวิวข้างนอกได้ ส่วนราคาตอนนั้นจองผ่าน Agoda ที่คืนละ 321 บาท (จากคืนละ 380 บาท)ถูกโคตร!






การตกแต่งภายในจะเน้นเรียบง่ายและเน้นสีแดงเข้มๆ ชั้นล่างจะมีบาร์และมุมพักผ่อนให้พอสังสรรค์กันได้ มีลิฟท์เอาไว้ใช้อำนวยความสะดวกของผู้พักห้องแบบ BKK เพราะเค้าจะอยู่ชั้น 4 กัน ส่วนห้องน้ำจะแบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้น 2 จะเป็นของผู้ชาย ส่วนชั้น 3 จะเป็นของผู้หญิง ภายในห้องน้ำมีไดร์เป่าผมให้ด้วย ส่วนห้องอาบน้ำเป็นเครื่องทำน้ำอุ่นปกติครับ ไม่มีสบู่ให้นะ อ้อ เรื่องผ้าเช็ดตัวที่นี่ก็มีให้เช่า 50 บาท/ผืน แต่มีค่าประกันผืนละ 150 บาทนะครับ อย่าทำผ้าเค้าหายกันละ







ส่วนทีวี ตู้เย็นเก็บของหรือตู้แช่ก็ไปแช่ได้ที่ชั้น 1 นะครับ มี Wifi Internet ความเร็วพอใช้ทุกชั้น ทุกห้องจะเป็นคีย์การ์ดเข้าห้องหมด มัดจำบัตร 200 บาท


ที่นี่ถ้าคุณมาพักในช่วงที่เค้าเป็น Hi Season อาจจะพบเจอกับเพื่อนชาวต่างชาติคละเพศกันไปนะครับ เพราะที่นี่เค้าจะไม่มีโซนสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ แต่เค้าจะพยายามจัดให้ไม่เจอกันแน่นอน พนักงานที่นี่อาจจะน้อย แต่ก็ถือว่าบริการโอเคมากๆ เลยละครับ อ้อ เห็นที่บอกว่าทางเข้าเป็นที่อโคจรก็จริง แต่ที่พักนี้รับรองว่าเงียบสงบมาก และปลอดภัยแน่นอนครับผม :3


เว็บไซต์ : http://www.cheqinn.com/
Facebook : https://www.facebook.com/CheQinn